หุ้น TWTR ถูกและดี จริงหรือไม่? [Deep Dive]
วิเคราะห์การเติบโตครั้งใหม่ของ Twitter โค้งสุดท้ายก่อนโต 10 เด้ง? Launch Feature ใหม่ๆ Space, Super Follow และ Twitter Blue
TWTR น่าจะเป็นหุ้นตัวแรกตั้งแต่ที่ผมเขียนมา แล้วผมรู้สึกว่าตัวนี้มีโอกาสโต 3-10 เด้งในซัก 5-10 ปี ดัวย Market Cap ระดับ 50 Billion ถือว่า Size ไม่เล็กไม่ใหญ่ จิ๊กซอว์การเติบโตเกิดขึ้นแล้วประมาณ 70-80% เหลือแค่ผลลัพธ์ที่กำลังจะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า
วันนี้เลยอยากมาแชร์มุมมองหุ้น Twitter แบบโคตร Bias มากๆ อ่านแล้วต้อง Discount กันเยอะๆนะครับ 555 บอกไว้ก่อน
หุ้น Twitter มีอะไรน่าสนใจ?
ราคาหุ้นถูกเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้น Social Media ตัวอื่นๆ
Twitter มีกลุ่ม User ที่มีความเหนียวแน่น และ Positioning ที่ชัดเจน ทำให้การออก Feature ใหม่ๆมีโอกาสได้รับผลตอบรับที่ดีสูง
Architecture ใหม่ที่ใช้เวลาในการสร้าง 3-4 ปี ทำให้ Twitter สามารถทำลองและออก Feature ใหม่ๆได้เร็วขึ้น
Ads Server ตัวใหม่ที่จะทำให้การลงโฆษณาบน Twitter มีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่มเป้าหมาย และ ROI ที่ดีขึ้น ช่วยเรื่องงบโฆษณา และแก้ปัญหาที่ Twitter มีแต่ลูกค้าโฆษณา Brand Advertising มี Performance Advertising น้อย
Feature ใหม่บน Twitter เช่น Super Follow และ Space ซึ่งจะทำให้รายได้ลง Bottom Line ทันที
รายได้จาก Twitter Blue บริการ Premium จาก Twitter ซึ่งทำให้รายได้ลง Bottom Line เช่นกัน
การ Refocus Business ให้อยู่ใน Core Strength “Showing People – What happening” ที่เริ่มแสดงพลัง หลังจากที่หลงทางมาหลายปี
การขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่เช่น Commerce และ Cryptocurrency
ได้รับประโยชน์จากการกลับมาของงบการตลาด Branding เมื่อเปิดเมืองและเศรษฐกิจดีดตัว
เป้ารายได้เติบโต 1 เท่าตัว และจำนวนผู้ใช้โต 50% ใน 3 ปี
ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้ ทำให้ผมมองว่า Twitter มีโอกาสที่มากพอสมควรในการเติบโต อาจจะไม่ถึงขนาดเทียบชั้น Facebook ที่ Market Cap 1 Trillion และผู้ใช้หลัก 2.8 Billion users แต่ถ้าขึ้นไปซัก 100-200 Billion ผมว่ามีโอกาสไม่น้อย และถ้าทำได้ดีมากๆโอกาสไปถึง 500 Billion ก็อาจจะมีอยู่ถึงจะไม่มากก็ตาม (ผมว่าระดับ 500 Billion ต้องมีอะไรมากกว่าที่ทำตอนนี้ และต้องมีความแมสมากๆในระดับนึง ซึ่งปัจจุบัน Twitter ไม่ได้ Mass ขนาดนั้น)
ทำความเข้าใจธุรกิจของ Twitter
ขึ้นชื่อว่าหุ้น Social Media ผมว่าหลายๆคนน่าจะเข้าใจโมเดลธุรกิจดี มีคนมาใช้ Social Media มาแชร์รูป แชร์ความคิด แชร์วีดีโอสั้น ให้เพื่อนๆดูกัน พอมีคนใช้มากขึ้นก็เริ่มมีธุรกิจเข้ามา มีเพจ มี Official Account
ยิ่งคนใช้มากขึ้นเท่าไหร่ Social Media นั้นๆยิ่งทรงพลัง นึกภาพ Social Media เหมือนโรงเรียน เหมือนออฟฟิศ เหมือนหมู่บ้าน ในโลกออนไลน์ที่คนเอาไว้อัพเดทข้อมูลข่าวสาร ปฏิสัมพันธ์ต่อกันแทนโลกความเป็นจริง
ในปัจจุบัน Social Media แต่ละแบรนด์ก็มีความแตกต่างกัน Facebook/IG มีไว้ Update เรื่องราวส่วนตัว Snapchat มีไว้แชร์ความรู้สึกในช่วงเวลานั้นๆ Twitter เอาไว้เสพข่าวเสพดราม่าแบบ Real-Time Pinterest มีไว้แชร์ไอเดียในการทำงานอดิเรก
Twitter มี Mission คือการ “Serve Public Conversation” นี่ก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไม App ของ Twitter จึงเป็นการ Tweet สั้นๆ มี Topic ที่คนใช้สามารถ Follow ได้ ด้วยการทำงานแบบนี้เลยทำให้ Twitter มีจุดเด่นในการ Update ข่าวแบบไวๆ
ปัจจุบัน Twitter มีผู้ใช้ต่อวัน (Monetizable Daily Active User- mDAU) 206 ล้านคน ที่ใช้ Monetizable เพราะจะมี User บางกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่ หรืออยู่ในประเทศที่ Twitter ยังเน้นในการสร้างฐาน User ไม่ได้โชว์โฆษณาจึงไม่เอามานับรวม
Twitter มีรายได้จาก Advertising ราวๆ 87% ที่เหลือเป็นรายได้จาก Data Licensing อีก 13%
รายได้ของ Twitter 54% มาจากสหรัฐฯ 46% มาจากที่อื่น ในขณะที่สัดส่วนผู้ใช้ของ Twitter เป็นสหรัฐฯแค่ 20% เท่านั้น ตรงนี้บ่งบอกว่าบริษัทอิงกับค่าโฆษณาในสหรัฐฯเยอะ และที่อื่นๆอาจจะไม่ได้โฆษณาใน Twitter เลย หรือไม่ก็ใช้น้อยกว่ามากๆ
ซึ่งพอมาทรงนี้เลยทำให้ Twitter ซึ่งฐานผู้ใช้น้อยกว่า Facebook ค่อนข้างเสียเปรียบ นี่ยังไม่นับรวมถึงเรื่องระบบการยิงโฆษณาของ Twitter ที่ขึ้นชื่อได้ว่า “ล้าหลัง” อย่างมีนัยยะ
ข้อเสียของระบบ Ads Server ของ Twitter คือมันทำ Direct Respond Ads ได้ไม่เก่งเท่าของ Facebook หรือ Snapchat
Direct Respond Ads คือระบบโฆษณาที่ลูกค้าสามารถตั้ง Objective ให้ได้เป้าหมายตามที่ต้องการเช่น ยอดการโหลด App เป็นต้น พอระบบ Direct Respond Ads ของ Twitter ไม่ดี Advertiser ก็ไม่ค่อยใช้ ทำให้สัดส่วนรายได้ของโฆษณาของ Twitter เป็น Brand Advertising 85% และเป็น Performance Ads 15% (Direct Response คือส่วนนึงใน Performance Ads)
ข้อเสียของ Brand Advertising คือมันวัด ROI แบบจริงๆจังๆได้ไม่ค่อยเป๊ะ ทำให้การที่ Online Marketer จะตัดสินใจเพิ่มงบประมาณทำได้ยาก เลยเป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้คนที่โฆษณาใน Twitter มีแต่แบรนด์ใหญ่ๆที่มีงบ Branding เยอะๆ รายเล็กๆย่อยๆ SME ที่ทำ Performance Marketing เลยไม่ค่อยไปลงใน Twitter
นอกจากระบบ Ads ที่ตามชาวบ้านไม่ทันแล้ว ยังมี Architecture ของ Twitter ที่ล้าหลัง ทำให้การ Launch Product แต่ละครั้งช้า และไม่มีประสิทธิภาพ จนมีคนบอกว่าถ้า Facebook คือ Move Fast and Break Things … Twitter น่าจะเป็น Move Slow and Don’t Break Anything เพราะที่ผ่านมา 3-4 ปี Twitter แทบไม่ได้มีอะไรใหม่ๆเลย
และด้วยสาเหตุทั้งหมดทำให้ Twitter มีความเป็น Platform ค่อนข้างโตช้าเมื่อเปรียบเทียบกับ Platform อื่น
เช่น Facebook และ Snapchat ในทุกๆมุมไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของรายได้ และจำนวนผู้ใช้งาน
การเติบโตที่ด้อยกว่า คุณภาพธุรกิจที่แย่กว่า หุ้นเล็กกว่าแต่ก็โตน้อยกว่าด้วย ปัญหาภายในองค์กรที่ดูแก้ปัญหาไม่จบไม่สิ้น ครั้งหนึ่ง Mark Zuckerberg เคยพูดถึง Twitter ว่าเป็น “Twitter is such as mess — it’s as if they drove a clown car into a gold mine and fell in.” แปลเป็นไทยคือ “แกงค์ตัวตลกตกไปในขุมทอง” หมายความว่ามีอภิมหาสมบัติอยู่ในมือแต่กลับไม่รู้จักเอามันมาทำประโยชน์
ข้อดีของ Twitter คือเป็น Social Media ที่มี Engagement ค่อนข้างสูงและมีความเหนียวแน่นมากๆ นึกถึงเหล่าสาวก K-Pop กลุ่มคนเทรดคริปโต จนไปถึงการพูดคุยกันเรื่องการเมืองในต่างประเทศ ที่ไม่ว่าประธานาธิปดีคนไหนก็ต้องใช้ Twitter
ไม่ใช่แค่ Mark Zuckerberg คนเดียวที่มองเห็น Hidden Value ของ Twitter และเคยพยายาม Takeover ถึง 2 ครั้ง แต่ Marc Benioff ของ Salesforce และ Bob Iger ของ Disney เองก็เคยคิดจะ Takeover Twitter เช่นแต่ก็ล้มเลิกด้วยเหตุผลเรื่อง Sexual Harassment ที่เคยเกิดขึ้นใน Twitter
อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งหมดทั้งปวง ได้รับการแก้ไขแล้วจากการกลับมาเป็น CEO ของหนึ่งใน Twitter Co-Founder Jack Dorsey ในปี 2015
การกลับมาของ Jack Dorsey
ตั้งแต่ Jack กลับมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตั้งแต่การเปลี่ยนผู้บริหาร ยันไปถึงการปรับปรุง Corporate Culture แบบ Upside-Down แต่การเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา และก็ดูเหมือนว่า Wallstreet จะไม่ยอมให้เวลากับ Twitter
หลังจากที่ Jack เข้ามา หุ้น Twitter ก็ตกลงอย่างหนัก การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบนั้นทำให้ Twitter เปลี่ยนจากบริษัทที่เติบโตปีละ 100% ในช่วงก่อนปี 2015 กลายเป็นบริษัทที่โตน้อยลง ติดลบในปี 2017
หลังจากปี 2017 Twitter ไม่เคยโตเกิน 30% หุ้น Facebook ที่มีขนาดใหญ่กว่า Twitter เป็น 20 เท่ายังโตได้มากกว่า
ปัญหาที่ทำให้ Twitter ไม่โตหลักๆมีอยู่ 3 อย่างคือ
การ Launch Feature ใหม่ๆของ Twitter ช้าเกินไป เกิดจากวัฒนธรรมองค์กรที่เสื่อมถอย และ Architecture ของ App ที่ไม่เอื้ออำนวย ก็เลยเกิดเป็น Event ที่บริษัทตัดสินใจไม่ทำ Feature ใหม่ๆเลย แต่เน้นจัดการหลังบ้านให้จบก่อนเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นในงบลงทุนและ R&D ของ Twitter ที่ลดลง
Ads Server ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ Advertiser ไม่สามารถวัดประสิทธิภาพของ Ads ได้ จบง่ายๆที่การไม่ใช้ Twitter เลยมีแต่ Brand Advertising เยอะ Performance Ads น้อย พอ Performance Ads ทำได้ยาก ก็วัด ROI ยาก การที่ Advertiser จะเพิ่มงบ ยิ่งในปีที่มีวิกฤตยิ่งเป็นไปได้ยากมาก ดังนั้นบริษัทเลยแก้ปัญหาด้วยการทำ Ads Server มันใหม่ซะเลย เริ่มต้นจาก 0 ทำให้ใช้เวลามาก
การเติบโตเข้าไปในใน Sector ใหม่ๆแทบไม่มีเลย ต่างกับ Facebook ที่มีการออก Feature ใหม่ๆ เช่น Marketplace และ Project Libra
ข่าวดีคือแม้ Twitter จะตัดสินใจเน้นจัดการหลังบ้าน และไม่มีการเติบโตใหม่ๆ แต่บริษัทยังคงรักษาอัตราการทำกำไรไว้ได้ ด้วยรูปแบบธุรกิจและโครงสร้างของ Twitter ซึ่งเป็นบริษัท Tech มี Operating Leverage สูง และอุตสาหกรรม Online Advertising ที่ยังเติบโตอยู่ ยังทำให้ไม่ขาดทุนมากกว่าเดิมและมีการเติบโตเบาๆ ราคาหุ้นเองก็เริ่มไม่ลดลงไปมากกว่าเดิม และมีการกลับตัวขึ้นมาตั้งแต่ปี 2017
การเติบโตครั้งใหม่ของ Twitter
Jack Dorsey จะรู้หมดแล้วว่าปัญหาของ Twitter คืออะไร ลงมือแก้ไข และในที่สุดผลของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของ Jack Dorsey เมื่อ 3-4 ปีก่อนเริ่มผลดอกออกผลให้เห็นแล้วในปี 2019
Twitter เริ่มกลับมามี mDAUS (Monetizable Daily Active Users) ที่เติบโตที่สูงขึ้นอย่างมีนัยยะ ในปี 2019 Jack พูดถึง 4 อย่างที่ Twitter กำลัง Focus คือ
เพิ่มการพัฒนา Feature ใหม่ๆหลังจาก Infrastructure และ Architecture ใหม่เสร็จแล้ว โดย Jack เน้นว่าสิ่งที่ต้องทำให้ดีกว่าเดิมคือการเปลี่ยน Idea ที่ได้จากผู้ใช้ให้กลายเป็น Feature คูลๆยังช้าเกินไป
Jack เชื่อว่าคุณภาพของ “บทสนทนา” ที่ดี ทำให้ Platform เติบโตได้ในระยะยาว สิ่งนี้ทำให้เขาจัดการกับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอย่างหนัก และเริ่มทำให้ผู้ใช้สนทนาผ่าน “Interest” ที่ตนเองสนใจได้ คนใน Twitter ไม่ได้เน้นคุยกับใคร แต่เน้นเรื่องการคุย “เรื่องอะไร” มากกว่า (ถ้าเป็น Facebook คุยกับใครคือ Page ส่วนคุยเรื่องอะไรคือ Group นั่นเอง)
ทำให้การเติบโตของรายได้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการพัฒนา Mobile App Promotion (MAP) ที่ Twitter ยังอ่อนมากๆ อันนี้ต้องใช้เวลา
Decentralized Workforce ไปเมืองสำคัญๆทั่วโลก Twitter ไม่สามารถเป็น Global Company ได้ด้วยการที่พนักงานส่วนใหญ่ยังอยู่ใน San Francisco
ตัดภาพมาปี 2021 หลังจากที่ Twitter ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ mDAU ในปี 2020 โตขึ้นมา 26.3% แม้ใน 1H2021 การเติบโตของ mDAU จะแผ่วลงไปเหลือ 206 ล้าน โต 10.7% YoY แต่ในครึ่งปีหลัง Twitter มีแผนที่จะ Launch Feature ใหม่ๆเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้ Momentum การเติบโตของ mDAU ดีขึ้น
Jack Dorsey ได้บอกไว้ว่า ยิ่งมี Feature ใหม่ๆมากขึ้น การเติบโตของ mDAU และรายได้ก็จะมีแนวโน้มเติบโตตาม และในมุมมองของเขายังมองว่า “There’s a tremendous opportunity to get the whole world to use Twitter” หนทางยังอีกยาวไกลสำหรับนกสีฟ้าตัวนี้ เริ่มต้นจาก Feature ใหม่ที่กำลังจะ Launch ใน 2H2021
Feature ใหม่ของ Twitter จะทำให้เติบโตได้อย่างไร?
ผมคิดว่าสิ่งที่จะทำให้ Twitter เปลี่ยนยมาเติบโตอย่าง Aggressive ได้มีอยู่ 4 อย่างด้วยกัน เรียงลำดับตามสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะ Impact ในระยะสั้น-กลางมากที่สุด
Topics and Interest – Twitter หันมาให้ความสำคัญกับ Topics และ Interest มากขึ้น คนสมัคร Twitter ใหม่จะมีการเลือก Topics ตอน On-Boarding เสมอ ปัจจุบัน Twitter มี Topic ให้ Follow มากถึง 9500 Topics ซึ่งตัว Topics นี่แหละช่วยทำให้ Retention หรือการใช้ซ้ำของ Twitter ดีขึ้น
Ads Server / MAP – ปัญหาที่แก้ไม่ตกของ Twitter มานานคือเรื่อง Ads Server ตอนนี้เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน Ads Revenue เติบโตขึ้น 87% ในไตรมาส 2 ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำในปี 2020 ด้วยแต่ก็ต้องถือว่ามี Improvement ที่ดีมาก เพราะเกือบๆจะทำ All Time High ที่เคยทำไว้ได้ในไตรมาส 4 ปี 2020 ถ้า Ads Server ไม่ได้มีการพัฒนา mDAU ไม่เพิ่มขึ้น รายได้ Ads Revenue น่าจะไม่ขึ้นสูงได้ขนาดนี้
ไม่ใช่แค่การปรับปรุง Ads Server อย่างเดียว แต่ยังมีการ Launch Direct Response Ads ใหม่ๆ Ads Format เพิ่มเติม และการ Tracking ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในภาพรวมน่าจะทำให้การทำโฆษณาใน Twitter มีประสิทธิภาพ และดึงดูดงบ โฆษณามากขึ้น
Twitter มีตั้งเป้าไว้ว่าในอนาคตสัดส่วนรายได้ของ Brand Advertising และ Performance Advertising จะเป็น 50:50 ถ้า Brand Advertising เท่าเดิม นั่นหมายความว่ารายได้จาก Performance Advertising จะเพิ่มมากขึ้น 200-300% เลยทีเดียว แต่บริษัทยังไม่ได้ให้ Guidance ไว้ว่าตั้งเป้าไว้ปีไหน ดังนั้นระยะสั้นอย่าคาดหวังการเติบโต 100%+ จาก Performance Advertising ในตอนนี้คงยังไม่ได้
ปัจจุบัน Market Share โฆษณาออนไลน์ของ Twitter ยังถือว่าเล็กมาก บริษัทมีรายได้จากการโฆษณาในปี 2020 เพียง 3.2 Billion เป็นสัดส่วน Market Share ไม่ถึง 2% เมื่อเทียบกับ Digital Marketing Market และเป็นสัดส่วนแค่ 4% ของรายได้โฆษณาของ Facebook ที่ราวๆ 80 Billio
Twitter Space – เมื่อพฤษภาที่ผ่านมา Twitter Launch Space Feature ห้องเสวนาแบบเดียวกับ Clubhouse ซึ่งสิ่งที่ผมคิดว่า Twitter ทำได้ดีกว่า Clubhouse คือ Twitter มีความเป็น Social Media ที่มีไว้สำหรับ Discuss Topic ต่างๆอยู่แล้ว นอกจากนั้น Twitter ยังมีกลุ่ม User ที่ค่อนข้างเหนียวแน่นเช่น K-Pop, Gaming, Cryptocurrency การเกิด Engagement น่าจะมีโอกาสสูงกว่า Platform อื่นๆ และด้วยจำนวน User ที่มากกว่า Twitter น่าจะได้เปรียบ Clubhouse ตรงนี้เต็มๆ ในเดือนสิงหาคม 2021 Clubhouse มีผู้ใช้ 10 ล้านคน แต่ mDAUs ของ Twitter มีมากกว่า 200 ล้านคน ขอคนใช้ 5% ก็เท่ากับ Clubhouse แล้ว
จุดเด่นของ Twitter Space คือ Space จะมีการทำเป็น Ticket Space ด้วยคือต้องจ่ายเงินถึงจะเข้าฟังได้ อารมณ์คล้ายๆเป็นสัมมนาออนไลน์ย่อมๆเลย
Super Follow / Tip Jar - อีก Concept ที่ Twitter พยายามต่อยอด Platform ของตนเองคือการทำให้คนที่มาใช้ Twitter สามารถหาเงินได้จาก Tweet หรือ Thread (บทความยาวๆหลาย Tweet ติดต่อกัน) ต่อไปคนที่มี Followers มากๆจะสามารถเก็บเงินจาก Followers ที่สมัครเป็น Super Follow ได้ ลักษณะคล้ายๆ Substacks
ประเด็นนี้ผมคิดว่าไม่น่าช่วยเรื่องการเพิ่มขึ้นของรายได้หรือ DAU มากมายอะไร แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วใน Platform ถ้าใครเล่น Twitter จะเห็นว่ามีแอคเค้าท์ที่ล๊อคแล้วเก็บเงินคนเข้า (อันนี้มีทั้งสายดาร์คและสายสว่างครับ แฮ่ ... ที่ผมเห็นแบบทำจริงจังแบบบทความลงทุนหุ้นอะไรนี่ก็มีเยอะอยู่ครับ)
ดังนั้นการทำ Super Follows จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วบน Platform ของ Twitter ถ้าบริษัทสามารถอำนวยความสะดวกให้คนเหล่านี้ทำบน Platform ได้เลยจบ Loop ก็น่าจะดีไม่น้อยครับ โดยผมคาดว่า Twitter น่าจะได้รายได้เป็นเชิงส่วนแบ่งค่า Subscription คล้ายๆ Medium หรือ Substack ซึ่ง Twitter น่าจะคิดค่าส่วนแบ่งประมาณ 15-20% จากค่า Subscription $30-$360
ส่วน Tip Jar ก็เป็นการช่วยหาเงินให้กับ User อีกส่วนหนึ่งนอกจาก Subscription อารมณ์ให้ทิปคนที่เราติดตาม ซึ่งทั้งส่วน Super Follows และ Tip Jar ในตอนนี้เริ่มมีเปิด Test กับ User ในกลุ่มเล็กๆแล้ว
Twitter Blue – Twitter เวอร์ชั่นพรีเมี่ยมที่มี Function พิเศษต่างๆ เช่น สามารถแบ่ง Bookmark เป็นหลายๆหมวดได้ สามารถ Undo Tweet ได้ และเพิ่ม Function Thread สำหรับ User ที่ชอบอ่านแบบบทความยาวๆ ให้อ่านได้ง่ายขึ้น ราคาของ Twitter Blue อยู่ที่ $3 ต่อเดือน ข้อเสียของผู้สมัคร Twitter Blue คือแม้จะจ่ายตังค์ แต่ยังคงต้องโดนยิง Ads เหมือนเดิมนะครับ เลยไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีคนสนใจสมัครมากแค่ไหน
Twitter มี mDAU อยู่ 200 ล้านคน ถ้ามีคนที่ใช้แบบ Hardcore สมัครซัก 5% หรือประมาณ 10 ล้านคน จะเป็นรายได้ให้ Twitter ทันที 360 ล้านเหรียญ ปัจจุบัน Twitter มี EBITDA อยู่ที่ 560 ล้านเหรียญ รวมรายได้ Twitter Blue เข้าไปจะกลายเป็น 920 ล้านเหรียญ (Assume Incremental Costs are all priced in) ถือว่าถ้าทำได้สำเร็จจริงจะเป็น Driver ในเชิงรายได้ที่สำคัญมากๆของ Twitter
สรุปรวมๆคือ เบอร์ 1 เรื่อง Topic และ Interest น่าจะช่วยให้คนมาใช้ Twitter มากขึ้น บ่อยขึ้น mDAU สูงขึ้น เบอร์ 2 การปรับ Ads Server จะช่วยเรื่องการเพิ่มยอดโฆษณา เบอร์ 4-6 ช่วยเรื่อง Retention, Engagement และ Monetization หรือการหารายได้เพิ่มเติมของ Twitter ซึ่งก็ไปตรงกับเป้าของ Jack Dorsey ที่จะทำให้รายได้ของ Twitter โต 1 เท่าตัวใน 3 ปี
จากรูปคือตัวอย่างของ Snapchat ในการ Launch Feature ต่างๆที่โดนใจผู้ใช้สุดท้ายก็ช่วยทำให้ DAU ของ Snapchat มากขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่าของ Twitter ก็คงเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
งบการเงินของ Twitter
การเติบโตของรายได้ - ไตรมาสล่าสุด Twitter มีรายได้เติบโตถึง 74% แต่ถ้าดูไปลึกๆจะเห็นว่าการเติบโตที่สูงมากๆในครั้งนี้ได้รับอานิสงค์มาจาก การลดลงของรายได้ในไตรมาส 2 ปี 2021 จากวิกฤตโรคระบาดด้วย การเติบโตในไตรมาส 1 ปี 2021 น่าจะสะท้อนการเติบโตของ Twitter ได้ดีกว่าที่ 31%
ตัวเลข 30% นี้ใกล้เคียงกับเป้าการเติบโตใน 2-3 ปีข้างหน้าของ Twitter ที่จะโตจาก 3,700 ล้านเหรียญ เป็น 7,500 ล้านเหรียญ ถ้าเป็นไปตามตัวเลขนี้รายได้ของ Twitter ควรจะเป็น...
2020 – 3,700 ล้านเหรียญ
2021 – 4,800 ล้านเหรียญ
2022 – 6,200 ล้านเหรียญ
2023 – 8,100 ล้านเหรียญ เกินเป้าของ Jack Dorsey ที่ตั้งไว้พอดี
ปี 2021 นี้ Twitter ทำรายได้ไปแล้ว 2,226 ล้านเหรียญ ขาดอีกราวๆ 2,600 ล้านเหรียญ Outlook ไตรมาส 3 ของ Twitter Guide ว่ารายได้น่าจะอยู่ที่ระหว่าง 1200-1300 ล้านเหรียญ ไตรมาส 4 เป็นไตรมาสที่เป็น High Season ของ Twitter อยู่แล้ว โอกาสที่จะมีรายได้มากกว่า 1300 ล้านเหรียญมีโอกาสสูงอยู่ และถ้า Twitter ทำได้จะถือเป็นอีกไตรมาสที่รายได้ของ Twitter จะทำ All Time High อีกครั้ง
เรื่องที่อาจจะดูไม่ดีเท่าไหร่คือ ถ้ารายได้เป็นไปตาม Guidance ที่ 1,200-1,300 ล้านเหรียญ พอเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 202 ที่ผ่านมา บริษัททำรายได้ที่ 1290 ล้านเหรียญ อัตราการเติบโตของรายได้ของ Twitter จะอ่อนตัวลงไปที่ Range 5-10% หรือไม่โตอีกครั้ง ซึ่งดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ในสายตาของตลาดและนักลงทุน
ผมคิดว่าความท้าทายของ Twitter คือการ Drive รายได้ในระดับ 25% เป็นอย่างน้อย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าของ Jack Dorsey ซึ่งความหวังก็คงไปฝากไว้แถวๆ Feature ใหม่และ Ads Server ใหม่ที่ทยอย Launch ว่าจะ Impact แค่ไหน รวดเร็วทันใจ Wallstreet รึเปล่า
อัตราการทำกำไรของ Twitter
อีกมุมนึงที่น่าสังเกตในเชิงงบการเงินคืออัตราการทำกำไรของ Twitter หรือ Adjusted EBITDA Margin สังเกตว่า Margin ของ Twitter จะเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 30% แต่ในระยะยาวบริษัท Guilde ว่า Adj. EBITDA Margin จะอยู่ที่ 40-45% ดังนั้นเราควรจะต้องเห็นการพัฒนาที่ดีขึ้นของ Adj. EBITDA ในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ Feature ใหม่ๆที่ Launch ออกมาได้รับความนิยมแค่ไหนด้วย
ทั้งหมดนี้มีเห็นผลบ้างบางส่วนแล้ว เช่นในไตรมาส 4 ปี 2020 ที่ออกมาโตค่อนข้างดี จาก Performance ของ Mobile Ads Promotion ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และการผลักดัน Feature ใหม่ๆ
แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าในระยะสั้นอาจมีหลุมอากาศบ้าง จากอัตราการเติบโตที่ลดลง และต้องใช้เวลาซักระยะกว่า Feature ใหม่ๆจะเกิด Adoption แต่ระยะยาวผมคิดว่า Twitter มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นจากเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมามากพอสมควร
หุ้น Twitter แพงไหม?
อนาคตระยะกลาง-ยาวดูดีกว่าเดิม ในระยะสั้นถ้าตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อหุ้น Twitter อาจะทำให้เกิดการ Multiple Expansion ไปเทรดที่ P/S หรือ EV/EBITDA ที่สูงกว่าเดิมได้ แล้วปัจจุบัน Twitter อยู่ตรงไหน?
ถ้าเทียบเชิง EV/Sales กับอัตราการเติบโตจะเห็นว่า ด้วยความที่ Twitter มีการเติบโตที่ต่ำที่สุดในกลุ่มหุ้น Social Media Multiple ของ Twitter ก็เลยต่ำตามไปด้วย ปัจจุบันอยู่ที่ EV/Sales ประมาณ 12 เท่า เทียบกับ Pinterest ที่ 16 เท่า Snapchat ที่ 35 เท่า ... แต่ด้วยความที่ทั้งสองตัวนั้นโตเร็วกว่าเยอะก็อาจจะสมเหตุสมผลประมาณหนึ่ง
Twitter แม้หุ้นยังไม่ใหญ่เท่าไหร่ แต่การเติบโตค่อนข้างน้อย ... น้อยกว่า Facebook ที่เป็น Social Media Market Cap 1 ล้านล้านเหรียญ Twitter เป็นแค่ 1 ใน 20 ของ Facebook เท่านั้น พอเทียบแบบนี้ก็พอเข้าใจละว่าทำไมตลาดให้มูลค่า Twitter ต่ำขนาดนี้ ทั้งๆที่เป็น Social Media เหมือนกัน
และถ้าเทียบในมุมกว้าง กับหุ้น Technology In-General โดยเทียบด้วย EV/Sales กับ Market Cap จะเห็นว่า หุ้นตัวอื่นๆที่ Market Cap พอๆกับ Twitter โตมากกว่า Twitter ทั้งนั้น
คำตอบของคำถามว่าหุ้น Twitter แพงไหม? คำตอบคือไม่แพงเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ แต่พอดูพื้นฐานและผลประกอบการที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่ามัน “สมฐานะ” ประมาณนึงอยู่เหมือนกัน การซื้อหุ้น Twitter ในตอนนี้คือการเดิมพันว่า Twitter จะสามารถกลับมาเติบโตสูง ในระดับ 20-30% ได้อย่างต่อเนื่อง กลายเป็นหุ้นที่เติบโตสูงอีกครั้งนึง
สิ่งที่อาจ Surprise ตลาดในอนาคต
ถ้าใครติดตาม Jack Dorsey จะรู้ว่าเขาเชื่อมั่นใน Cryptocurrency มากๆ เอาจริงตอนนี้ Twitter พร้อมมากๆที่จะ Integrate กับ Bitcoin ในรูปแบบของ Tip Jar, Super Follows หรือ Ticketed Space ผมว่ามันเป็นแค่ A Matter of Time แล้วว่าจะ Announce ออกมาตอนไหน และทำอะไรได้บ้าง ในอีกมุมหนึ่ง Cryptocurrency Community ใน Twitter Active มากๆ สังเกตจากเวลาเราไปดูช่องทางการติดต่อของ Crypto ส่วนใหญ่แล้วจะมี Twitter, Medium, Discord เป็นหลักเลย ไม่ค่อยเห็น Facebook, IG หรือ Snapchat
อีกอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะเป็น Surprise ตลาดในอนาคตคือการเติบโตของ Twitter Space ด้วยเหตุผลเพราะ Twitter Space มีความ Mass มากๆ ดูจาก Space ที่มี Performance ดีๆคือ Space ของ Bambam GOT7 นักร้อง K-Pop, Ranboo ซึ่งอยู่ในตลาด Gaming และ Nic Carter ในตลาด Cryptocurrency ถ้าเอามาเทียบกับ Clubhouse ผมนึกไม่ออกว่าคนจะจ่ายเงินเข้าไปฟัง Clubhouse ดีเบตการเมือง ถกเรื่องลงทุน หรือ คุยเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไป แต่ผมเห็นชัดมากๆว่า Space ของ Bambam GOT7 จะเก็บเงินคนเข้าได้ Space Gaming อันนี้ก็มีแฟนคลับที่เหนียวแน่น ดังนั้นผมคิดว่านอกจากจำนวนผู้ใช้แล้ว กลุ่มคนที่ใช้ Space จะทำให้ Twitter ได้เปรียบ Clubhouse ไม่น้อยครับ
ความเสี่ยงของหุ้น Twitter
ไม่มีอะไรมาการันตีว่า Feature ใหม่จะได้รับความนิยม และถึงได้รับความนิยมก็อาจจะต้องใช้เวลานาน
Ads Server ที่ปรับปรุงแล้วของ Twitter ยังคงต้องพัฒนาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลผมว่า Ads Server ของ Twitter ยังล้าหลังกว่า Facebook และ Snapchat พอสมควร ทำให้การ Targeting ไม่แม่น รูปด้านบนคือ Advertiser Demand Flywheel หรือสิ่งที่ทำให้เกิด Demand การ Advertising ขึ้นใน Platform อันนี้ผมเอามาจาก Snapchat ซึ่งสามารถชี้ชัดได้ถึงปัญหาของ Twitter ซึ่งยังทำได้ไม่ดีในหลายจุด ถ้าปรับปรุงได้เราน่าจะเห็นรายได้จาก Advertising ที่มากขึ้นอย่างมีนัยยะ
Jack Dorsey ต้องดูแล 2 บริษัททั้ง Square และ Twitter และถ้าจะทำให้ทั้ง 2 บริษัทโตติดจรวดได้ ต้อง Super-Human เท่านั้น เพราะเป็นงานที่ยากมากๆ คนที่ผมเห็นว่าทำสำเร็จก็เช่น Elon Musk, Jeff Bezos ก็หวังว่า Jack Dorsey จะทำได้
การแข่งขันของ Social Media โหดมากๆคู่แข่งแต่ละคนเก่งๆทั้งนั้น Facebook, Snapchat, Google (ในมุมของ Online Advertising) ไม่มีอะไรมาการันตีว่าวันนึง Facebook อาจจะก๊อปฟังก์ชั่นของ Twitter ก็ได้ เพราะถ้าเทียบกันจริงๆ Facebook กับ Twitter ถือว่าเป็นบริษัท Tech ใน Vintage เดียวกันคือเกิดมาใกล้ๆกัน แต่ Facebook ไปอย่างไกล ส่วน Twitter อยู่กับที่มาหลายปี จนตอนนี้ผมว่าในเชิงธุรกิจและทีม ผมว่า Facebook ได้เปรียบบริษัทอื่นๆไปเยอะแล้ว ส่วนตัว CEO ผมว่าไปในคนละแนวกัน ก็ต้อง Bet ว่าแนวทางของ Jack Dorsey จะนำพาบริษัทให้เติบโตเป็นชิ้นเป็นอันได้ในระยะเวลาอันใกล้
ความเสี่ยงในเชิงตลาด Online Advertising ก็น่าสนใจ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีวิกฤต งบการตลาดจะโดนตัดก่อนเป็นอันดับแรก แต่ในความเป็นจริงผมว่าต้องว่า “งบ Brand Advertising ถูกตัดก่อนเป็นอันดับแรก” ถึงจะถูก เพราะเป็นส่วนที่วัดเป้าได้เป็นชิ้นเป็นอันยาก ต่างกับ Performance Ads ที่วัด ROI ได้ชัดเจน ดังนั้นถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมา Brand Advertising ที่เป็น 85% ของรายได้ Twitter จะเกิดปัญหาได้
ผลประโยชน์จากวิกฤต COVID? ก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะพอคนอยู่บ้านจากการปิดเมืองก็มีเวลาเล่น Facebook ดู Netflix ติดตาม Twitter กันมากขึ้น แน่นอนว่ากลุ่มผู้ใช้ที่ Engage กับ Twitter เยอะๆเช่น K-Pop Gamer และกลุ่มเทรด Crypto ก็ต้องมากขึ้นด้วยแน่ๆ ถ้าเกิดการเปิดเมืองและกลับไปทำงานทำการ Engagement จากกลุ่มคนเหล่านี้อาจลดลงได้
สรุปหุ้น Twitter ดีไหม?
ผมอยากสรุปหุ้น Twitter เป็น 3 Timeframe ด้วยกัน คือ สั้น (1 ปี) กลาง (3 ปี) และ ยาว (5 ปี+)
ระยะกลาง-ยาว 3-5 ปี+ จะขึ้นอยู่กับ Feature ที่ Twitter launch ในปีนี้ และน่าจะเห็นผลว่าดีหรือไม่ดี ช้าที่สุดในปีหน้า ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของ Twitter ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า รวมถึง Feature ใหม่ๆที่อาจออกมา Surprise ตลาดในปี 2022
ส่วนในระยะสั้น ผมว่า Momentum เชิงรายได้ของ Twitter อาจจะสะดุด ด้วยรายได้ที่สูงในไตรมาส 4 ปี 2020 ที่ผ่านมา การใช้งานและ Engagement ที่อาจจะน้อยลงในระยะสั้น ซึ่งกระทบทั้ง Reach และเรื่อง Advertising ด้วยแน่นอน ซึ่งผมยังไม่เห็นบริษัท Mention ในประเด็นนี้ .... ผมอาจจะมโนจนคิดมากไปเองก็เป็นไปได้ แต่ผมว่ามันมีโอกาสเกิดขึ้นไม่น้อยนะครับ
แต่ด้วย Valuation ที่ราคาถูกอยู่แล้ว ถึงหุ้นลงผมว่าก็คงลงไม่ได้มาก อาจจะ 20-30% เป็นอย่างมาก ถ้าลงมาผมจะถือว่าเป็นโอกาสทองในการเข้าลงทุน Twitter เลยทีเดียว Assume ว่า Function ที่ Twitter Launch ใหม่ๆได้รับความนิยมนะครับ แต่ถ้าไม่ใช่ Twitter อาจจะถูกแบบนี้ไปอีกนานเท่านาน และอาจจะไม่เกิดอีกเลยก็ได้ ... หรืออาจจะจบที่การถูก Takeover? ก็เป็นไปได้ เพราะเมื่อก่อนมีทั้ง Facebook, Salesforce และ Disney ที่พยายาม Takeover Twitter
ขุมทองของ Twitter มีอยู่แน่นอน อยู่ที่ว่า Jack Dorsey จะสามารถปลดล๊อคศักยภาพ และขุดทองที่ซ่อนอยู่ใน Twitter ได้หรือไม่? ในมุมมองของผม ผมคิดว่า Jack แก้ปัญหาตรงจุดแล้ว Jigsaw ด้านต่างๆก็มากันครบแล้ว ทั้งทีมงาน การเติบโต การออก Feature ใหม่ๆ
Twitter ถือเป็นหุ้นที่ผมจะยังติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปในอนาคตแน่ๆครับ Warren Buffett เคยบอกว่า ระหว่างผู้บริหารที่เก่ง กับบริษัทที่มี Business Model อันสุดยอด เขาจะเลือกอันไหน? แน่นอนว่าเขาเลือกบริษัทที่มี Business Model สุดยอดที่แม้แต่ผู้บริหารธรรมดาๆก็ทำให้มันประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องได้
ในกรณีของ Twitter ผมคิดว่า Jack Dorsey คือ CEO ที่เก่งมากๆแล้ว ในแนวทางของเขา เหลือที่ว่าจะ Drive Business ยังไงจาก Platform Social Media ที่ดูเหมือนอิ่มตัวให้กลับมาเติบโตใหม่ งานของ Jack Dorsey นี่เหมือนกลับมาพลิกโฉม Twitter เลยทีเดียว
ถ้าทำสำเร็จ Twitter ไม่อยู่ที่ Market Cap 50 Billion แน่ๆ แต่ถ้าทำไม่สำเร็จราคาหุ้นก็อาจจะขาดทุนนิดหน่อย (ไม่น่ามากเพราะเป้ารายได้ของ Twitter คือการโต 1 เท่าตัว ในปี 2023) สุดท้ายอาจจะเท่าทุน โอกาสขาดทุนผมว่ามีไม่มาก 20-30% เลยเป็นสาเหตุที่ผมมาเขียน Deep Dive Twitter ครับ หุ้นที่ Downside ไม่มาก แต่ Upside Unpredictable และมีโอกาสพอสมควร ผมว่าเป็นหุ้นที่น่าเดิมพันครับ !
ถ้าชอบบทความวิเคราะห์หุ้นเจาะลึกแบบนี้ อยากให้เพื่อนๆ Subscribe กันไว้นะครับ ผมเขียนทุกสัปดาห์ครับ สัปดาห์ละ 1-2 ตัว เน้นหุ้น Technology ที่หาลงทุนไม่ได้ในไทย ถ้า Subscribe ไว้ระบบจะส่งไปให้ที่อีเมลล์เลยคร้บ :-)
หรือจะแอดไลน์กันไว้ก็ได้ครับ จะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ Trendlongtun LINE