การวิเคราะห์งบการกำไรขาดทุนแบบ Step-by-Step [Knowledge]
บทความนี้คือการสรุป Checklist งบการเงินที่ผมไปสอนใน Thaivi นะครับ คิดว่าน่าจะสรุปออกมาเรื่อยๆ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการลงทุนของเพื่อนๆครับ รอบนี้ผมขอ Focus ไปที่การวิเคราะห์งบกำไรขาดทุนก่อน เพราะถือเป็นงบที่ผมวิเคราะห์เป็นอย่างแรกเลย (ในกรณีทั่วๆไปนะ) ซื้อหุ้นเราก็อยากให้ราคาหุ้นเติบโต นั่นหมายความรายได้และกำไรของบริษัทก็ควรจะต้องโตจริงไหมครับ ราคาหุ้นถึงจะโตได้
โดยส่วนใหญ่แล้วเนี่ยคนมักจะดูที่ EPS (Earning Per Share) กันเป็นหลักเลยว่ามีการเติบโตมากแค่ไหน เสร็จแล้วก็มักจะจบกันที่ตรงนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่สำคัญมากกว่าการเติบโตมากขึ้นหรือลดลงของ EPS คือเหตุผลที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆขึ้นและแนวโน้มตะหาก
ที่บอกว่าต้องหาเหตุผลให้ได้ว่า "มันโตเพราะอะไร?" เป็นเพราะตลาดหุ้นไม่เคยเทรดอยู่บนงบการเงินณ.ปัจจุบันอยู่แล้ว แต่มักจะเทรดโดยการมองไปข้างหน้ามากกว่า ดังนั้นถ้าเราเอาตัวดูงบการเงินในปัจจุบันก็คงตามชาวบ้านเขาไม่ทันแน่ๆ
ดังนั้นสิ่งที่ผมมักจะดูใน EPS คือแนวโน้มก่อนเลยครับ ว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นมานั้น เกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว พึ่ง
เกิดขึ้นไตรมาสนี้ หรือเป็นขาขึ้น / ลงมาแล้ว 4-5 ไตรมาส โดยผมมักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับหุ้นที่มี EPS เคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มใหม่ กลับตัวจากลดลงมาเป็นขาขึ้น หลังจากนั้นค่อยไปหาเหตุผลว่าทำไมมันเปลี่ยนไป และจะขึ้นไปอีกนานไหม
อย่างในรูปด้านบนเป็น EPS ของหุ้น SISB ถ้าเห็นแบบนี้ก็ควรต้องรีบเข้าไปศึกษาครับ โดยควรตั้งคำถามกับตัวเองต่อว่า ....
การกลับตัวจะกลายเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่? ถ้าต่อเนื่องจะเป็นเพราะเหตุอะไร? การที่ EPS จะขึ้นได้ต้องมีเหตุการณ์ 2-3 เหตุการณ์เกิดขึ้นด้วยกัน เช่น ....
รายได้เติบโตมากขึ้น จากการเติบโตของเทรนด์ จำนวนลูกค้า ขายสินค้ามากขึ้นอะไรก็ว่าไป
ต้นทุนผลิตลดลง จาก Economie of Scales ที่ดีขึ้น จากการผลิตที่สูงขึ้น หรือจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง จากการรัดเข็มขัดควบคุมต้นทุน Layoff พนักงานหรืออาจจะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น แต่เป็นสัดส่วนที่ลดลง จากการที่บริษัทควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
จำนวนหุ้นลดลง บริษัทอาจมีการซื้อหุ้นคืนหรือมีการลดทุน ทำให้จำนวนหุ้นลดลงอย่างถาวร พอเอามาหารด้วยกำไรเท่าเดิม EPS ก็เลยดูสูงขึ้น แต่บอกตรงๆเคสนี้เกิดไม่บ่อย น่าจะเป็นข้อ 1-3 มากกว่า
ถัดจากดู EPS เสร็จแล้ว ผมจะมาดูกำไรจากการดำเนินงานต่อเรียกว่าเริ่มต้นที่บรรทัดสุดท้ายแล้วค่อยๆไล่มาด้านบนครับ
ถามว่าทำไมถึงไปดูกำไรจากการดำเนินงานเลย ไม่ดูกำไรก่อนหักภาษี กำไรสุทธิ หรือต้นทุนทางการเงินไรงี้เหรอ ...เอาจริงๆคือถ้าเข้าไปดูงบการเงินก็คงดูผ่านๆตาแหละเพราะยังไงมันต้องเห็นอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ไปให้ความสำคัญอะไรกับมันมากนัก
เพราะผมต้องการดูสิ่งที่เกิดจากการดำเนินงานของบริษัทว่าบริษัทของเรามีการดำเนินงานดีขึ้นหรือแย่ลงมากน้อยแค่ไหน การบริหารภาษี และดอกเบี้ยมันไม่ได้เกี่ยวกับการดำเนินงานซักเท่าไหร่ จะมีบางเคสที่หายากมากๆที่อาจจะเกี่ยว แต่ 90% ไม่ได้เกี่ยวมาก ส่วนใหญ่ก็จ่ายภาษี จ่ายดอกเบี้ยกันไปตามปกติ
กำไรจากการดำเนินงานหรือ Operating Profit คือกำไรสุดท้ายที่มาจากการดำเนินงานจริงๆ หักต้นทุน หักค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร รวมถึงถ้าเป็นหุ้นที่มี Research and Development หรือ Stock-based Compensation จะรวมอยู่ในนี้ด้วย (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นต่างประเทศ หุ้นไทยก็มีบ้างแต่น้อยมากๆ)
กำไรจากการดำเนินงานจะมาคู่กับการดูค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานซึ่งประกอบไปด้วย
ค่าใช้จ่ายจากการขาย ส่วนใหญ่มักจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการทำการตลาด เช่นค่าโฆษณา ค่าคอมมิชชั่นเซลส์เป็นต้น มักจะเติบโตขึ้นพร้อมๆกับรายได้ เช่นรายได้โต 20% ค่าใช้จ่ายในการขายก็อาจจะโต 20% เช่นกัน ดังนั้นจุดสำคัญของการดูค่าใช้จ่ายในการขายคือพยายามหาหุ้นที่รายได้โต แต่ค่าใช้จ่ายในการขายโตน้อยกว่า หรือไม่โตเลย จะทำให้กำไรพุ่งเร็วมากๆเวลารายได้โต
ค่าใช้จ่ายจากการบริหาร อันนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือบริการโดยตรง ถือเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่เกือบๆจะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าเงินเดือน CEO ค่าพี่แม่บ้าน ค่าพนักงานบัญชี ค่าพนักงาน HR ที่ไม่ได้เกี่ยวกับการผลิตหรือบริการโดยตรงเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่แล้วค่าใช้จ่ายตรงนี้จะคงที่ มีเพิ่มบ้างตอนเข้าตลาดจากการขยายทีมงาน
โดยรวมแล้วหากรายได้โต เราจะมองหาหุ้นที่มีค่าใช้จ่ายในการขายโตน้อยกว่า และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่แทบไม่โตเลย และเข้าไปศึกษาว่าเหตุผลเป็นเพราะอะไร Make sense หรือไม่?
ถามว่าถ้าหุ้นตัวนั้นมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารโตพอๆกับรายได้ ได้ไหม? ก็ได้นะแต่จะมีข้อเสียที่เวลาเติบโต กำไรจะโตได้ไม่มาก เท่าหุ้นที่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร Fix ครับ พอกำไรมันโตไม่เยอะ ราคาหุ้นขึ้นได้ก็อาจจะไม่เร็วเท่าอีกแบบ และยิ่งยาวๆไปจะไม่ได้ประโยชน์จาก Operating Leverage อะไรเลย
ด้านบนคือตัวอย่างของบริษัทที่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการขยายตลอดควบคู่ไปกับรายได้ที่โตขึ้น ทำให้สุดท้ายอัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานอยู่เท่าเดิมทรงๆไม่ไปไหนในระยะเวลา 10 ปี ราคาหุ้นเองก็ไม่ได้ไปไหนเลย แม้รายได้จะโตมามากกว่า 150%
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นไม่ค่อย Perform อาจจะเป็นเพราะบริษัทอยู่ในธุรกิจที่ค่อนข้างเน้นเรื่องคน ดังนั้นเลยทำให้ยิ่งขยายกิจการ ยิ่งต้องเพิ่มคนมาดูแลงาน สังเกตว่ารายได้โต โดยปกตควรจะต้องเกิด Operating Leverage แต่สัดส่วน SG&A / Sales กลับเท่าเดิมตลอด แปลว่ามีการใช้งบการตลาดที่มาก ไม่ก็เป็นการเพิ่มทีม Management อย่างต่อเนื่อง รวมถึงผมเดาว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้น่าจะมากพอสมควรจึงทำให้การขึ้นราคาเป็นไปได้ยาก
(ใครมีเหตุผลมากกว่านี้ช่วยกระซิบบอกผมหน่อยครับ ผมดูคร่าวๆเอาตัวเลขของบริษัทที่นึกได้มาเป็นตัวอย่างให้ อาจจะเข้าใจผิดในบางจุดครับ)
ถัดจากกำไรจากการดำเนินงาน ผมจะไปดูต่อที่กำไรขั้นต้น ซึ่งเป็นการหักเอาต้นทุนขายและบริการที่เป็นทางตรงออกจากรายได้ เช่นถ้าผลิตสาหร่ายขาย ต้นทุนทางตรงคือสาหร่าย ค่าเสื่อมโรงงาน ค่าวิศวกรคุมโรงงาน ค่าแพคเกจจิ้ง
ถ้าอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเรื่อยๆก็จะดีมาก แปลว่าบริษัทสามารถเพิ่ม Utilization เครื่องจักร ใช้โรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ แต่ถ้าบริษัทนั้นเป็นบริษัท Mature หรืออิ่มตัวประมาณนึงแล้ว จะใช้โรงงานและเครื่องจักรอย่างเต็มที่อัตรากำไรขั้นต้นมักจะไม่สูงขึ้นอีกแล้ว แต่จะทรงๆซึ่งถือว่ายังยอมรับได้และสมเหตุสมผลอยู่ครับ
ประเด็นที่น่าสนใจคือถ้าบริษัทนั้นดันขายสินค้าที่ต้นทุนผลิตมีความผันผวนอย่างรุนแรง เช่นต้นทุนเป็นน้ำมัน เป็นถ่านหิน หรือแม้แต่สาหร่ายที่ยกตัวอย่างไปข้างต้นก็มีช่วงเวลาที่ราคาผันผวนสูงๆเหมือนกัน ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาประเมินยากครับ และถ้ามาประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างต่ำ คือ 0-20% จะอนุมานไว้ก่อนเลยว่าสินค้าที่บริษัทขายเป็นสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ (แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ ต้องศึกษาธุรกิจเพิ่มเติมด้วย)ง
จะเห็นว่าถ้าเราเลือกหุ้นที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น และอัตราค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายลดลง เราจะเจอหุ้นประเภทที่มีประสิทธิภาพจากการขายมากขึ้น ในขณะที่สามารถบริหารจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายได้ให้คงที่หรือลดลงได้ โครงสร้างทางการเงินแบบนี้จะทำให้กำไรโตสูงมาก ถ้ารายได้เติบโตครับ
การดูกำไรขั้นต้นยังมีจุดที่สำคัญคือการดูว่าต้นทุนขายและบริการนั้นๆ เป็นต้นทุนคงที่กี่ % และต้นทุนผันแปรกี่ % ถ้ามีต้นทุนคงที่เยอะๆยิ่งทำให้กำไรโตมากกว่ารายได้ และสุดท้ายลงไปที่กำไรสุทธิจะโตเยอะมาก
การจะรู้ว่าต้นทุนเป็นต้นทุนคงที่กี่ % และต้นทุนผันแปรกี่ % สามารถดูได้ใน 56-1 หมายเหตุประกอบงบบางครั้งก็มีบอกครับ ถ้าไม่ได้จริงๆโทรหา IR จะสามารถตอบได้ครับ
สุดท้ายคือการดูรายได้ ที่ต้องดูเพราะอะไร? เพราะรายได้แต่ละส่วนมักมีคุณค่ากับบริษัทไม่เท่ากัน รายได้บางตัวกำไรสูงลิ่ว รายได้บางตัวกำไรต่ำเตี้ย รายได้บางตัวใช้เวลาน้อย บางตัวใช้เวลามาก
อย่างในตัวอย่างนี้คือบริษัทอสังหาฯครับ สัดส่วนรายได้แนวสูง (คอนโด) จะใช้เวลาในการรับรู้รายได้นานกว่าบ้านแต่มีกำไรที่สูงกว่าและรับรู้รายได้แบบเป็นก้อนใหญ่ๆทีเดียว ในขณะที่บ้านมักจะค่อยๆมาเรื่อยๆ สร้างไปขายไปโอนไป เป็นต้นครับ
สรุปคือสำหรับงบกำไรขาดทุน ผมมักจะให้ดู EPS -> กำไรจากการดำเนินงาน -> กำไรขั้นต้น -> รายได้ เรียงตามลำดับนี้ครับ ในแต่ละส่วนก็ลงไปดูรายละเอียดว่าสิ่งที่มีกระทบคืออะไรบ้าง? หวังว่าน่าจะช่วยให้การลงทุนและการอ่านงบการเงินของเพื่อนๆสนุกยิ่งขึ้นนะครับ
ยังไงรอบหน้าผมจะมีเขียนวิธีการดูงบของฝั่งหุ้นต่างประเทศเพิ่มเติมให้ แล้วเจอกันในบทความหน้าครับ :-)