วิเคราะห์หุ้น SNOW Snowflake เติบโตกับเทรนด์ Data Cloud เป้าหมายโต 19 เท่า ใน 8 ปี หุ้น Tech ของ Berkshire Hathaway [Deep Dive]
Snowflake เติบโตกับเทรนด์ Data Cloud เป้าหมายโต 19 เท่า ใน 8 ปี หุ้น Tech ของ Berkshire Hathaway
หุ้น SNOW IPO เข้ามาในตลาดช่วงปี 2020 หุ้นได้รับการตอบรับอย่างดี จากราคา IPO ที่ 120 เหรียญ วิ่งขึ้นไปสูงถึง 429 เหรียญ เป็นผลตอบแทนทั้งสิ้น 257 % ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานหุ้นได้ตกลงมา 57% จากจุดสูงสุด ไปต่ำสุดที่ 184 เหรียญ ปัจจุบันอยู่ที่ราคา 237 เหรียญ ทำให้หุ้นตัวนี้มีความน่าสนใจมากขึ้นจากราคาที่ลดลงมาเยอะ เลยเป็นที่มาของการเขียน Deep-Dive ครั้งนี้ เพราะหุ้น SNOW ถือเป็นหุ้นที่มีแผนการเติบโตระยะยาวที่ใหญ่มากๆ นอกจากนั้นยังมีหลายอย่างที่ทำให้หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่น่าสนใจสุดๆ
สิ่งที่น่าสนใจของหุ้น SNOW
สิ่งแรกที่ทำให้ผมสนใจในหุ้นตัวนี้คือหนึ่งในผู้ถือหุ้นของ SNOW คือ Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett Berkshire BRK ซื้อหุ้น SNOW ตอนก่อนเข้า IPO ไปที่ราคา 120 เหรียญ ถึงตอนนี้กำไรไปแล้วมากกว่า 100%
Snowflake อยู่ในธุรกิจ Data Cloud ซึ่งกำลังเติบโตอย่างสูงจากการเติบโตของ Data การมาของ IoT และ 5G จะทำให้ปริมาณข้อมูลที่ต้องจัดการยิ่งมากขึ้นไปอีก
ธุรกิจของ Snowflake เป็นแบบ Consumption based คือยิ่งใช้งานมากยิ่งต้องจ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเลขอย่าง Net Revenue Retention Rate สูงถึง 168% นั่นหมายความว่าลูกค้าของ Snowflake มีการใช้งานบริการเพิ่มเติมเฉลี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ Snowflake กลายเป็นอันดับหนึ่งในใจลูกค้าไปแล้ว
รายได้ของ Snowflake เติบโตอย่างแข็งแกร่งมากกว่า 100% นับเป็นการเติบโตที่สูงเป็นอันดับต้นๆของอุตสาหกรรม
Snowflake มี Business Model ของการเป็น Multi-Cloud คือลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการ Cloud เจ้าใดก็ได้ร่วมกับ Snowflake ลูกค้าเลือกใช้ Snowflake จาก Architecture ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การทำงานในยุค Cloud โดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างกับของที่อื่นๆ จึงทำให้ Snowflake กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของลูกค้า
CEO คนใหม่ของ Snowflake Frank Slootman ขึ้นชื่อว่าเป็น Power-CEO หรือ CEO ที่เน้นการขยายธุรกิจแบบโหดๆ รวมไปถึงการนำบริษัทเข้า IPO ก็เป็นผลงานของ Slootman เช่นกัน
บริษัทมีแผนการเติบโตจากรายได้ 529 ล้านในปี 2021 ไปเป็น 10,000 ล้านในปี 2029 โตประมาณ 19 เท่าใน 8 ปี นับเป็นการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 35% ต่อปี ถือเป็นแผนการเติบโตที่ Ambitious ไม่น้อย น่าสนใจว่าบริษัทจะใช้กลยุทธ์อย่างไร
ด้วยความที่หุ้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็ว บริษัทเป็นผู้นำ อัตราการเติบโตของรายได้มากกว่า 100% แผนการเติบโตที่ชัดเจนยิ่งกว่า TV 8K ความมั่นใจจากผู้ถือหุ้นอย่าง Berkshire ทำให้ราคาหุ้น Snowflake พุ่งสูงถึง 70 Billion มี Price/Sales 132 เท่า ราคานี้ถ้าไม่ดีจริงคงอยู่ไม่รอด
เรามาลองดูกันครับว่า Snowflake ตอนนี้คือโอกาส หรือวิกฤต?
ธุรกิจของ Snowflake
ธุรกิจของ Snowflake เริ่มต้นมาจากคนสองคนคือ Benoit Dageville, Thierry Cruanes ทั้งคู่ทำงานเป็น Data Architect ที่ Oracle มาก่อน จึงทำให้เข้าใจปัญหาของ Data ดี สุดท้ายออกจากบริษัทมาเพื่อก่อตั้งบริษัท Data ของตนเอง ด้วยความที่ทั้งคู่ชอบเล่นสกีมากก็เลยตั้งชื่อบริษัทว่า Snowflake นอกจากนั้น Snowflake ยังเป็นชื่อของ Schema หนึ่งของงาน Data Warehouse ด้วย
ปัจจุบันโลกเรามีการใช้งาน Data มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งการเติบโตของ IoT และ 5G เติบโตมากขึ้น ยิ่งทำให้ข้อมูลมากขึ้นตาม ปัญหาที่ตามมาคือแล้วโลกจะจัดการกับข้อมูลที่กระจัดกระจายนี้อย่างไร?
โดยปกติแล้วข้อมูลจะถูกเก็บและวิเคราะห์ผ่าน Data Center ของบริษัท แต่ปัญหาที่เกิดคือมัน Scale ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นความยุ่งยากในการจัดซื้อ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ทำให้ Data Center เดิมล้าสมัยอย่างรวดเร็ว การแชร์ข้อมูลก็ทำได้อย่างยากเย็น จนสุดท้ายพอมีธุรกิจ Cloud โผล่ขึ้นมาแก้ปัญหานี้
ปัจจุบันมีบริษัทมากขึ้นเรื่อยๆที่ย้ายข้อมูลมาอยู่บน Cloud เพราะ Scale ได้ง่ายที่เก็บข้อมูลไม่พอก็ซื้อเพิ่มได้ กำลัง Processing ช้าเกินไปก็ปรับได้ทันทีไม่ต้องมานั่งเปลี่ยน Server แบบในอดีต ปัญหาเรื่อง Scalability หมดไป กลายเป็นปัญหาเรื่อง Usability เข้ามาแทน เพราะปัจจุบันนี้ธุรกิจไม่ได้ Run อยู่บน Data ที่เก็บไว้เฉยๆ แต่ประโยชน์เกิดจากการนำ Data เหล่านั้นมาประมวลผลเพื่อหา Insight ในการพัฒนาธุรกิจ
Insight ที่มีประสิทธิภาพมาจากกระบวนการเช่น Machine Learning หรือ Deep Learning ซึ่งยิ่งมีข้อมูลจากหลายหลายแหล่งมากเท่าไหร่ การประมวลผลของ Model ยิ่งแม่นยำ แต่ประเด็นคือ Data มักจะถูกเก็บอยู่ในระบบที่มี Security สูงด้วย
ดังนั้นการแชร์ข้อมูลกันจึงทำได้อย่างยากลำบาก เกิดเป็นปัญหาที่เรียกว่า Data Silos คือ Data ของแต่ละบริษัท และละแผนก ต่างคนต่างอยู่ ไม่ถูกนำมาใช้งานร่วมกัน ทำให้ Insight ที่ได้จากงาน Data Science โตตามการเติบโตของ Data ไม่ทันนั่นเอง จะมีประโยชน์อะไรถ้ามีข้อมูล แต่ไม่สามารถดึง Insight ออกมาได้
Snowflake เกิดมาเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ... ทำยังไงให้ลูกค้าสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้เร็วขึ้น แม่นขึ้น มีประโยชน์มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง Snowflake เลือกที่จะแก้ปัญหานี้ผ่านการทำ Data Warehouse
ธุรกิจ Data Warehouse คืออะไร? Data Warehouse เปรียบคล้ายๆคลังสินค้า ที่มีการจัดเก็บสินค้าต่างๆไว้อย่างเป็นระเบียบ และหมวดหมู่สามารถเรียกมาใช้งานได้ง่าย
Data Warehouse มีอยู่ 2 ประเภทคือ Transactional Warehouse และ Analytical Warehouse
Transactional Warehouse จะเก่งในการดึงข้อมูลออกมาจาก Warehouse เช่นถ้าเราอยากรู้ว่า มีลูกค้าคนไหนอยู่ในพื้นที่กรุงเทพบ้าง แบบนี้ Transactional Warehouse จะดึงข้อมูลออกมาเร็วมากๆ อารมณ์คล้ายๆสมุดหน้าเหลือง
แต่ Analytical Warehouse แตกต่างออกไป เพราะการเป็นการดึงข้อมูลในเชิงวิเคราะห์ เช่น การหาจำนวน Unique User ของคนที่อยู่ในกรุงเทพ ซึ่งเคยสั่งไอศกรีม Import ที่มาจากร้านค้าปลีกในเขตสุขุมวิท ผ่านการตัดคะแนนจากบัตรเครดิต แบบนี้ต้องผ่านการ Analytic และใช้ข้อมูลจากหลายหลักแหล่ง การทำงานจึงแตกต่างจาก Transactional Warehouse มาก
Benoit และ Thierry เข้าใจถึงปัญหาของระบบ เพราะ Architecture ของ Data Warehouse ในอดีตไม่ได้ทำมาสำหรับการทำ Analytical Query หนักๆบน Cloud และไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการเชื่อมต่อกันระหว่างฐานข้อมูลต่างๆ
Business Model ของ Snowflake
Snowflake จึงถูกออกแบบขึ้นมาจาก Architecture ให้เป็นระบบ Data Warehouse ที่สามารถทำงาน Analytic ได้อย่างรวดเร็ว สามารถ Scale ได้โดยมีข้อจำกัดน้อย ที่สำคัญยังมีจุดเด่นเรื่องจากเชื่อมต่อ Data ต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งเหมาะกับการทำ Machine Learning
Snowflake ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดการระบบต่างๆ เปรียบเสมือนเป็น Turnkey Data Cloud Solution ของเรื่องข้อมูลบน Cloud แบบครบวงจร ผ่านระบบ Multi-Cloud ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บริการของ Cloud Provider เจ้าไหน AWS, Azure, Google
ทั้งหมดทั้งปวงนี้เพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือ ทำให้ลูกค้าสามารถ Query ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ตามเงื่อนไขด้านเวลา และค่าใช้จ่ายในแบบที่ลูกค้าต้องการ
คือปกติ Cloud จะเก็บเงินลูกค้าเป็นเดือน เป็นค่า Subscribe โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามใช้เกิน เท่านั้นเท่านี้ แต่ในปัจจุบัน การแข่งขันมันสูง ทำให้ไม่มีใครประเมินการใช้งานออก Snowflake เข้ามาเติมเต็มความต้องการตรงนี้ด้วยการเก็บค่าใช้จ่ายเป็น Pay-per-consumption ทำให้ลูกค้าสามารถใช้เวลาไปกับการวิเคราะห์ข้อมูล แทนที่จะเป็นการวางแผนระบบ Infrastructure จัดเรียงข้อมูล หรือสับเปลี่ยน Vendor
นอกจากนั้น Snowflake ยังมี UI ที่ง่ายต่อการใช้งาน เพราะ Stakeholder ของงาน Data ไม่ได้มีแต่ Data Scientist, Data Engineer แต่ยังมี Data Analyst, App Developers, Data Broker และผู้ใช้อื่นๆด้วย
ลูกค้าของ Snowflake สามารถซื้อ Package ไว้ก่อนและใช้งานทีหลังได้ (คล้ายๆการซื้อคูปองตามศูนย์อาหาร) ซึ่งการทำแบบนี้จะได้ส่วนลดราคา ทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
Snowflake แบ่งประเภทลูกค้าตามการใช้งาน ปัจจุบันมีลูกค้าอยู่ 4 ประเภท คือ
Standard 19% - อันนี้เป็น Package ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดใช้งาน Basic Function ทั้งหมดของ Snowflake
Enterprise 38% - Package สำหรับ Enterprise ที่อาจมี Data Warehouse หลาย Cluster
Business Critical 34% - อันนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ความ Sensitive ในเชิง Securities พวกบริษัทที่ระบบห้ามล่มเช่นธนาคาร การเงิน
Virtual Private Snowflake 9% - อันนี้เป็นระบบคล้ายๆ Business Critical แต่เป็นการแยก Server ออกมาเฉพาะสำหรับลูกค้ารายนั้นๆเลย จึงทำให้มีความปลอดภัยสูงมาก
ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าของ Snowflake จะเริ่มจากการทดลองใช้ฟรีก่อน เพื่อลองระบบ หลังจากนั้นจะเริ่มใช้บริการที่ Standard Package และ Move มาที่ Enterprise หรือ Business Critical
ปัจจุบัน Snowflake มีลูกค้ามากกว่า 4500 ราย โดยแบ่งเป็น Tier ดังนี้
ใช้งานมากกว่า $1M+ 104 ราย
ใช้งานมากกว่า $5M+ 19 รายได้
ใช้งานมากกว่า $10M+ 4 ราย
ในอนาคต Snowflake ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีลูกค้าที่ใช้บริการ $1M+ เพิ่มขึ้นจาก 104 เป็น 1400 ราย โดยแต่ละรายจะมีใช้บริการบริษัทเฉลี่ยที่ $5.5M โตขึ้นจากปัจจุบันที่ $3.4M
ถ้าเราสังเกตตรงนี้ดีๆเกมที่ยากของ Snowflake ไม่ใช่ Average Product Revenue แต่เป็นจำนวนลูกค้ามากกว่า Cloud เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตอยู่แล้ว Cloud Computing Software ใครๆก็ต้องใช้ และจะใช้มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่มันอยู่ที่ว่าในอนาคตใครคือตัวเลือกที่ลูกค้าเลือกต่างหาก เพราะถ้าเลือกเจ้าใดเจ้าหนึ่งพนักงานใช้จนเคยชินแล้ว การจะเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่วุ่นวายมากๆ ดังนั้นการดึงลูกค้าใหม่ให้มาใช้งาน จึงสำคัญกว่าการที่ลูกค้าขยายการใช้งาน (เพราะยังไงก็ต้องขยายอยู่แล้ว)
แล้ว Snowflake ทำยังไงที่จะเชื่อมไปถึงลูกค้าได้ สิ่งที่ Snowflake ทำหลักๆมีอยู่ 2 อย่างคือ 1. กลยุทธ์ Land and Expand 2. การเข้าเป็นพันธมิตรกับ Partner และที่ปรึกษาธุรกิจต่างๆในการขาย
Snowflake เข้าหาลูกค้าผ่านทางบริษัท Consulting เช่น EY, Deloitte, Accenture และ Online Lead จากการทดลองใช้ Platform ฟรี หลังจากทำความเข้าใจกับลูกค้าแล้ว ในช่วงแรก Snowflake จะให้ราคาที่ถูกกับลูกค้าเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจก่อน หลังจากนั้นลูกค้าจะมีการขยาย Package เพิ่มทีหลังเมื่อต้องการใช้งานเพิ่ม สิ่งที่ Snowflake ทำเรียกว่า Land and Expand ซึ่งจะกระทบให้ยอดขายแรกๆกำไรน้อยถึงไม่กำไรเลย แล้วไปกินกำไรช่วงที่ลูกค้าขยายและเข้ามาอยู่ในระบบแล้วแทน
ลูกค้าของ Snowflake ที่เรารู้จักกันดีก็เช่น DHL, KraftHeinz, Geico, Instacart, Disney, Capital One, JetBlue
Snowflake แตกต่างกับผู้ให้บริการ Cloud อื่นๆยังไง?
สิ่งที่ทำให้ Snowflake แตกต่างจากผุ้ให้บริการยักษ์ใหญ่อื่นๆคือ Architecture ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการทำงานในยุค Data Cloud ซึ่งเน้นการ Analytic และการเชื่อมต่อของข้อมูลโดยเฉพาะ นอกจากนั้นตัวระบบยังสามารถ Scale Up และ Scale Down ตามความต้องการของลูกค้าได้ พูดโดยรวมคือ Snowflake ใช้งานง่ายและคล่องตัวมากกว่า
เปรียบเทียบคล้ายๆกับการซื้อรถ EV ที่มาจากแบรนด์ EV โดนตรงกับรถ EV ที่มาจากแบรนด์ ICE รถที่มาจากแบรนด์ EV อย่าง Tesla จะสร้างทุกอย่างขึ้นมาเพื่อ Support EV โดยเฉพาะ ในขณะที่แบรนด์ ICE มักจะมีการแชร์ชิ้นส่วนหรือโครงสร้างบางอย่างมาจากรถ ICE เดิม ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสู้แบรนด์ EV เพียวๆไม่ได้
Frank Slootman เคยพูดได้ว่าในมุมของการทำงาน Data การขุด Insight ออกมาให้ได้เร็วที่สุดสำคัญมากๆ ถ้าใช้ระบบ Compute แบบทั่วๆไปอาจจะใช้เวลา 20 นาที แต่ถ้ามาใช้ Snowflake จะเหลือ 20 วินาที Snowflake ราคาสูงกว่าคู่แข่งไม่มาก แต่ให้ Time Value of Data สูงกว่ามากทำให้ลูกค้าเลือกใช้ Snowflake
ตัวเลขที่สามารถบ่งบอกถึง Value ของ Snowflake ได้ดีคือ Net Revenue Retention Rate ที่ 168% Net Revenue Retention Rate (NRR) คือตัวเลขที่ใช้วัดความพึงพอใจของลูกค้าผ่านการใช้งานหรือยอดขายที่เพิ่มขึ้น (หรือลดลง) ของลูกค้าเก่า คำนวณมากจาก NRR = ( รายได้ต่อเดือนล่าสุด + รายได้จากการ Upgrade/Cross-sells - รายได้ที่ลดลงจากการ Downgrade – รายได้ที่ลดลงจากการเลิกใช้งาน ) / รายได้ต่อเดือนล่าสุด ถ้าเกิน 100% แปลว่าลูกค้าที่มีการ Upgrade และใช้บริการบริษัทมากขึ้น มากกว่าลูกค้าที่ใช้บริการลดลงหรือเลิกใช้บริการ
NRR ล่าสุดของ Snowflake อยู่ที่ 168% ถือว่าสูงมากๆในวงการ SaaS ในขณะที่ Snowflake ไม่ได้เก็บค่าบริการเป็นรายเดือน แต่เป็น Consumption based คือเก็บตามการใช้งานยังสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นขนาดนี้ แปลได้ว่าความต้องการใช้งาน Snowflake ของลูกค้ายังคงแข็งแรงและเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุนอกจากจะมาจาก Product ที่โดน Pain Point เต็มๆแล้วกลยุทธ์ของบริษัทก็ถือว่ามาถูกทาง
Moat ของ Snowflake
ในมุมของลูกค้า Snowflake ค่อนข้าง Unique ด้วย Architecture ที่ทำขึ้นมาเพื่องาน Data Cloud โดยเฉพาะ การให้บริการแบบ Multi-Cloud ลูกค้าเลือกได้ว่าจะใช้บริการ AWS, Azure หรือ Google ในตอนแรกที่ใช้บริการ Snowflake อาจไม่มีอำนาจต่อรองมากซักเท่าไหร่ เพราะถ้าอัตราต่อรองเยอะคงไม่ต้องลดราคาเพื่อดึงลูกค้ามาใช้
แต่ในระยะยาวผมเชื่อว่าลูกค้าจะเห็น Value ของ Architecture ของ Snowflake และเมื่อใช้ไปนานๆจนรู้สึกคุ้นเคยตามธรรมชาติก็จะไม่ค่อยอยากเปลี่ยน Platform ซักเท่าไหร่ สิ่งนี้จะทำให้ Snowflake ได้เปรียบขึ้นมา
ในมุมของ Supplier Snowflake ต้องพึ่งพาบริการ Cloud จาก AWS, Azure หรือ Google (ปัจจุบันใช้ของ AWS เยอะสุด) แต่ถ้ามองในทางกลับกันทั้ง 3 เจ้าก็ต้องพึ่งพา Snowflake เช่นกันในฐานะพันธมิตรรายใหญ่ที่ขายบริการ Cloud ให้กับลูกค้า Snowflake จะมีการ Commit Volume การใช้งานกับ Provider แต่ละเจ้าในช่วงเริ่มสัญญา ความสัมพันธ์ของ Snowflake กับทั้ง 3 เจ้าใหญ่มีลักษณะคล้ายๆกับการเป็น Friendnemy คือมีผลประโยชน์ร่วมกันในขณะเดียวกันก็แข่งขันกันไปด้วย
อย่างไรก็ตามการแข่งขันในอุตสาหกรรม Cloud ค่อนข้างแข่งกันดุมากๆ ดังนั้นคงไม่มีใครอยากเสียพันธ์มิตรเก่งๆอย่าง Snowflake ไป โอกาสที่จะมาแข่งกันตรงๆหนักๆในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้าน่าจะมีไม่มาก ในมุมของความได้เปรียบถือว่า Snowflake ยังมีแต้มต่ออยู่บ้างในปัจจุบัน
การเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ง่ายไหม? ต้องบอกว่าไม่ง่ายแต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นคู่แข่งรายใหม่ แบบใหม่ๆเลยน่าจะมีน้อย แต่ถ้าเป็นรายใหม่ในธุรกิจแต่เป็นรายเก่าในอุตสาหกรรม เช่น AWS, Google ที่เริ่มหันมาให้บริการแบบ Snowflake อันนี้มีอยู่แล้ว ตรงนี้อยู่ที่ Snowflake แล้วว่าจะสามารถ Sign ลูกค้าและล๊อคไว้ได้ ก่อน หรือคู่แข่งจะพัฒนาตามมาทัน นี่คืออีกสาเหตุว่าทำไม Snowflake ถึง Aggressive มากๆกับการทำการตลาดและการดึงลูกค้ารายใหม่
ในมุมของบริการทดแทน จริงๆมีอยู่เยอะมาก แต่มักจะกระจัดกระจายทำหน้าที่ไปคนละอย่าง สองอย่าง จุดเด่นของ Snowflake คือการรวมเอาทุกอย่างที่จำเป็นกับการทำงานไว้ในที่เดียวกัน ทำให้คนทำงานไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเชื่อมต่อ จัดเรียงข้อมูล หรืองานที่ไม่ได้มีความจำเป็น เอาเป็นว่าถ้าอยากจะใช้บริการอื่นทำได้แน่ๆแต่ต้องเหนื่อยหนัก แน่นอนไม่มีพนักงานคนไหนอยากเหนื่อย
สุดท้ายการแข่งขันกันในอุตสาหกรรม Data Cloud เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่พัฒนาตามธุรกิจ Cloud มา ถ้าคิดกันจริงๆธุรกิจ Cloud Storage และ Cloud Computing ถือว่ามีโอกาสเป็น Commodity สูงมาก เพราะจะเอาข้อมูลไปเก็บที่ไหน หรือประมวลผลที่ไหนก็คงเหมือนกัน
Value Added อยู่ที่ Frank Slootman บอกคือ Time Value of Data ทำยังไงให้ทำงานได้เร็ว ไม่ใช่แค่ในเชิงการ Query แต่ในภาพรวมทั้งหมด UX/UI ที่ยอดเยี่ยม การทำงานที่มีประสิทธิภาพ การเชื่อมต่อกันของข้อมูล รวมไปถึงเรื่อง Security ดังนั้นอำนาจต่อรองและ Moat ของบริษัทจึงอยู่ตรงนี้ด้วย
ในปัจจุบันถือว่า Moat ที่ Snowflake มียังสูง จากอัตราการเติบโตที่สูงกว่า 100% อัตรากำไรขั้นต้นที่ยังอยู่ในระดับแถวๆ 60% สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตามดูคือจำนวนลูกค้ายังเพิ่มขึ้นอยู่หรือไม่ ลูกค้าใหม่ยังเข้ามาเรื่อยๆหรือเปล่า เพราะถ้ายังเข้ามาหมายความว่า Snowflake น่าจะยังรักษา Competitive Advantage ของตนเองไว้ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่เริ่มไม่เข้ามา เริ่มเห็น Net Revenue Retention Rate ลด ตรงนั้นน่าจะเป็นสัญญาณอันตราย
Snowflake ยังมีสิ่งที่กำลังสร้างอยู่คือการทำ Snowflake MarketPlace ซึ่งเป็นการนำเอาข้อมูลของบริษัทที่ใช้ Snowflake มาใช้ในการ Queries ร่วมไปกับ Database ของลูกค้าที่มีเพื่อการหา Insight ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การจะทำ MarketPlace ให้มีประสิทธิภาพต้องมี Data Provider ใน Data MarketPlace เยอะๆ ส่วนเรื่อง Architecture ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่เพราะของ Snowflake ทำมาเพื่อการนี้อยู่แล้ว ยิ่ง Snowflake มี Data Provider มากเท่าไหร่ Data MarketPlace ของ Snowflake ยิ่งทรงพลัง และอาจกลายเป็น Moat ที่สำคัญของ Snowflake ในอนาคตได้
งบการเงิน
ไตรมาสล่าสุด ไตรมาส 1 ปี 2022 รายได้ของ Snowflake เติบโตลดลงแต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงมากๆ โดยเติบโต 110% YoY และ 20% QoQ (Fiscal Year ของ Snowflake จบที่เดือนมกราคม เลยทำให้ Fiscal Year ของบริษัท กับ Calendar Year Diff กันเล็กน้อย)
อัตราการเติบโตที่ลดลงน่ากังวลหรือไม่? ในมุมของผมการเติบโตที่ลดลงเป็นธรรมชาติของบริษัทที่เริ่มใหญ่ขึ้น และมีฐานรายได้ที่สูงขึ้น รวมไปถึงเราต้องไม่ลืมว่าปีที่แล้วเป็นปีที่มีวิกฤต COVID ปิดเมือง คนไปทำงานไม่ได้ ดังนั้นการเติบโตในปีที่ผ่านมาจึงถือว่ามี Extra อยู่ไม่น้อย
ถ้าเราดูงบการเงินย้อนหลังไป 2-3 ไตรมาสตั้งแต่ Snowflake เข้า IPO รายได้เติบโตดีไม่ตก แต่สิ่งที่ผมคิดว่าตลาดกังวลคือเรื่องขาดทุนที่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วการขาดทุนมากขึ้นมันเกิดจากอะไรนะ?
พอเข้าตลาดมาปุ๊ป สิ่งที่เราเห็นคือ ค่าใช้จ่ายการตลาด S&M ค่าใช้จ่าย R&D และ ค่าใช้จ่าย G&A กระโดดขึ้นหมดทุกตัวจากการเพิ่มพนักงาน ค่าคอมที่สูงขึ้น จะค่าใช้จ่ายจาก Stock Compensation จากการเข้า IPO แนวโน้มขาดทุนที่ลดลงกลับกลายเป็นมากขึ้น
สิ่งที่น่ากังวลสำหรับ Snowflake คือ ปกติรายได้เติบโตประมาณ 100% อยู่แล้ว การ Spend หนักขึ้นแม้จะเห็นผลบ้าง ในมุมของ Remaining Performance Obligations (RPO - การซื้อจ่ายค่าแพคเกจล่วงหน้าของลูกค้า) ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2021 และจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการมากกว่า $1M ที่ถีบตัวขึ้นในไตรมาส 1 ปี 2022 นอกเหนือจากนั้นไมได้เห็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากกว่าเดิม
ส่วนสิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ค่าใช้จ่ายของ Snowflake จะสูงขึ้น แต่ถ้ามองเปรียบเทียบกับรายได้แล้ว เราเริ่มเห็นการทำงานของ Economy of scale เพราะค่าใช้จ่ายที่พุ่งตัวเป็นสัดส่วนสูงขึ้นในไตรมาส 3 ปี 2021 เริ่มมีสัดส่วนทรงตัวและมีแนวโน้มลดลงอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นหลักฐานที่กำลังบอกว่ากลยุทธ์ของ Snowflake ได้ผลคือเน้นปั๊มรายได้เยอะๆ และเริ่มให้ส่วนลดอย่างเข้มงวดมากขึ้น พยายามลดราคาน้อยลงและชูจุดเด่นด้านอื่น
Non-GAAP Operating Loss เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จาก -30% ในไตรมาส 3 ปี 2021 ตอนนี้กลายเป็น -16% ในไตรมาส 1 ปี 2020
ในเชิงของ Guidance บริษัทให้มุมมองการเติบโตลดลงจากเดิม จากที่เคยโต 100% แนวโน้มการเติบโตจะลดลงเหลือ 84-87% ในปี 2022 ลดลงแต่ก็ยังสูงอยู่ดี
สรุปคือในเชิงงบการเงิน ผมว่าตลาดคาดไว้แล้วล่ะว่ารายได้จะเติบโตลดลง ค่าใช้ใจที่เพิ่มขึ้นก็คง Price-in ไปในราคาหุ้นเรียบร้อยแล้วหลังจากที่หุ้นตกลงมาราวๆ 50% สิ่งที่นักลงทุนอยากเห็นตอนนี้คือ การเร่งตัวขึ้นของการเติบโตของรายได้, จำนวนลูกค้าที่จ่ายเงินให้ Snowflake มากกว่า $1M+, OPM ที่ติดลบน้อยลง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรามีโอกาสเห็นชัดเจนในช่วงปลายปี 2021 - ต้นปี 2022 หน้า เพราะกระบวนการจัดซื้อของบริษัทส่วนใหญ่มักจะเน้นไปที่ช่วงปลายปี ถึงตอนนั้นเราก็จะได้รู้ว่าที่ Snowflake ทำมาตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น มันถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ดูได้จากการเติบโตในตอนนั้น
ในมุมมองของผม หุ้น Snowflake มีการ Price-in ข่าวร้ายเข้าไปในราคาแล้วพอสมควร แต่โอกาสที่จะเห็น Snowflake กลับมา Rally อีกครั้งมีมากน้อยแค่ไหน? ราคาหุ้นณ.ตอนนี้สะท้อนอะไรบ้าง?
ในมุม Valuation เราควรมอง Snowflake อย่างไร?
ผมคิดว่าเรามอง Snowflake ได้ 2 มุม คือมุมการเติบโตในปีหน้าโดยเทียบกับรายได้ที่บริษัททำได้ในปีนี้และมุมเป้าหมายที่ผู้บริหารตั้งไว้
เริ่มต้นที่สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก่อนคือมุมการเติบโตในปีหน้าเมื่อเทียบกับราคาในปีนี้ ในมุมมองของการเติบโตและ Price/Sales เปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ
ถ้ามองที่การเติบโต Snowflake แทบจะเป็นหุ้น SaaS ที่เติบโตสูงสุดในตลาดแพ้แค่ Zoom ตัวเดียวเท่านั้น ส่วนในมุมของ Forward Price/Sales Snowflake ถือว่ามีค่าตัวแทบจะสูงที่สุดเช่นกัน แพ้ตัวเดียวคือ Bill.com
หุ้น SaaS ส่วนใหญ่จะเทรดกันที่ Price to Sales เฉลี่ยประมาณ 30 เท่า มีการเติบโตที่เฉลี่ย 40% ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่พูดยากเพราะไม่มีหุ้นตัวไหนเลยที่มีการเติบโตของรายได้สุดโหดแบบ Snowflake อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่มี NRR สูงถึง 168% ซึ่งก็สูงสุดในทั้งหมดอีกเหมือนกัน
ถ้าประเมินให้ Snowflake โต 90% ในปี 2022 และโตแถวๆ 80% ในปี 2023 ราคาปัจจุบันที่ 230 เหรียญจะถือเป็น Price / Sales ที่ 40 เท่า มากกว่าค่าเฉลี่ยที่ 30 เท่า ถือว่าตอนนี้ราคา Snowflake ไปเทรดกันที่ปี 2023 เรียบร้อยแล้ว
อีกมุมของการเติบโตคือการคิดตามเป้าระยะยาวของผู้บริหารที่มีเป้าไปให้ถึงรายได้ 10,000 ล้านเหรียญในปี 2029
สังเกตดีๆจะเห็นว่าตัวค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะมีสัดส่วนลดลงเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นนื่คือสาเหตุที่เราเอาตัวเลขณ.ปัจจุบันมาประเมินมูลค่าไม่ได้ แต่ต้องใช้ตัวเลขที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
Snowflake ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีรายได้ 10000 ล้านเหรียญ Operating Income ที่ประมาณ 10% หรือราวๆ 1,000 ล้านเหรียญ และ Adjusted Free Cashflow ที่ 15% หรือ 1500 ล้านเหรียญต่อปี
ถ้าในอีก 10 ปีข้างหน้า หุ้น SaaS ยังเทรดที่ Price / Sales ที่ 30 เท่าอยู่ ราคาหุ้นของ Snowflake อาจจะขึ้นไปถึง Market Cap 300,000 ล้านเหรียญ หารด้วยจำนวนหุ้นทีราวๆ 300 ล้านหุ้น ก็จะเป็นราคาหุ้นที่ 1,000 เหรียญ หรือ Upside เกือบๆ 300% จากราคาปัจจุบันในระยะเวลา 8-9 ปี
หรือถ้าเอาแย่ๆหน่อยก็อาจจะได้เห็น Price / Sales 10 ซึ่งเทียบกับกับหุ้น Mega-Cap ที่ Mature แล้วอย่าง MSFT, GOOG, FB ถ้าแบบนี้ราคาหุ้นอาจจะอยู่ที่ 330 เหรียญ ซึ่งมันเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน เพราะหุ้น SaaS อย่าง Salesforce ก็เทรดแค่ Price / Sales แค่ 10 เท่า โดยมี Market cap อยู่แถวๆ 220000 ล้านเหรียญ รายได้ปีละ
ปัจจัยเชิงเทคนิค
ดูมุมมองพื้นฐานระยะยาวกันแล้วมาเช็คปัจจัยกราฟเทคนิคระยะสั้นกันบ้างว่ามีอะไรน่าสนใจไหม?
ตอนนี้หุ้น Snowflake วิ่งอยู่ในกรอบแคบๆระหว่างราคา 220 – 260 โดยหุ้นอยู่ที่ 237 เหรียญ พอจะประเมินได้ว่าแนวรับอยู่แถวๆ 220 และแนวต้านคือ 260 เหรียญ
ราคาหุ้นในตอนนี้ดูยังไม่เลือกข้าง ขยับตัว Sideway Up เบาๆ RSI Week อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ถือว่าสัญญาณระยะสั้นยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงวิ่งก็ไปได้ไม่ไกล Trend ในระยะสั้นยังคงเป็น Sideway
อย่างไรก็ตามคิดว่า Downside ของหุ้นในระยะสั้นน่าจะมีไม่มากแล้ว ถ้าใครชอบและยังไม่มีของจะเก็บก่อนซัก 1ไม้ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
การเติบโต
สำหรับการเติบโตของ Snowflake หลักๆจะเป็นการเปลี่ยนผ่านจาก On-Premise ไปเป็น Fully Cloud การใช้งาน Data Warehouse ของ Snowflake ก็จะตามมาเอง
บริษัทประเมินว่า Total Addressable Market ของ Snowflake ณ.ปัจจุบันอยู่ที่ 90,000 ล้านเหรียญ เติบโตเกิน 10% จากช่วงเวลาที่ Snowflake IPO ดังนั้นน่าจะโตปีละประมาณ 20-30% ต่อปี ตลาดที่โตระดับนี้ถือว่าโตสูงแล้ว
โดยใน 4-5 ปี ตลาด Cloud ในภาพรวมจะโตจาก 106,000 ล้านเหรียญ เป็น 356000 ล้านเหรียญ โต 200% ใน 5 ปี ในการเติบโตนั้นจะเป็นของกลุ่ม Database Management Systems and Business Intelligence Platforms ราวๆ 50%
ณ.ปัจจุบัน Snowflake มีรายได้ที่ 530 ล้านเหรียญ ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด Data Warehouse ที่ 10.08% รองจาก SAP Business Warehouse และ Apache Hive ... แต่การมี Market Share น้อยก็ไม่ได้แปลว่าจะกิน Market Share ที่เหลือทั้งหมดนะครับ ผมว่ายังไงตลาดนี้ก็เป็น Winner Take All ยาก ไม่แม้แต่จะเป็น Winner Take Most ด้วย แต่ก็อาจจะมีเจ้าใหญ่ที่มี Share 15-20% แบบนี้ดูเป็นไปได้มากกว่าครับ
ส่วนในมุมของตัวบริษัทเอง ผมเองค่อนข้างเชื่อมากๆว่าบริษัทไปถึงรายได้ 10000 ล้านเหรียญ ได้แน่นอน ตลาดโต บริการ Data Cloud ก็เป็นที่ต้องการอยู่แล้ว ในอนาคตทุกคนต้องใช้ Cloud ดังนั้น Snowflake ที่เป็นผู้นำ Software จัดการข้อมูลบน Cloud ก็ควรจะได้ประโยชน์จากเทรนด์นี้
ความเสี่ยง
ส่วนความเสี่ยงที่ผมเป็นกังวลมากที่สุดคือเรื่องการแข่งขันทั้งจากรายใหญ่อย่าง AWS, Azure และ Google รวมไปถึงรายใหม่หน้าเก่าอย่าง DataBrick ที่กำลังจะเข้าตลาดมา แม้จะไมได้ทำธุรกิจ Exactly เหมือนกันซะทีเดียว แต่เนื่องจากธุรกิจเชื่อมโยงถึงกันหมด มันก็เลยไม่ได้ปิดประตูเรื่องคู่แข่งแบบ 100% คู่แข่งสามารถมาได้จากทั้งซ้าย ขวา หน้า หลังเลยทีเดียว ถ้า Snowflake พัฒนาไม่เร็วพอ ดึงลูกค้าไว้ไม่อยู่ ก็มีโอกาสที่จะเสียส่วนแบ่งการตลาดไปได้
เพราะในตลาด Cloud ที่เป็นอนาคตอันนี้ผมเชื่อว่าไม่มีใครยอมแพ้ง่ายๆ ถ้า Internet เหมือนไฟฟ้า Data Cloud ก็เหมือนการไฟฟ้าอ่ะครับ มีหน้าที่ผลิต จ่ายไฟ ประเมินว่าตรงนี้ควรใช้น้อยใช้เยอะ ราคาเป็นเท่าไหร่ สุดท้ายกลายเป็นสิ่งที่ใครๆก็ใช้ และต้องใช้กันทุกวัน ดังนั้นธุรกิจแบบนี้สู้กันขาดใจไปข้างแน่นอน
ส่วนเรื่องราคาอันนี้ไม่ใช่ความเสี่ยงครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่าขึ้นไม่ได้ 555 ก็ต้องพึ่ง Scale จากการขายและการตลาดเอาครับ
อีกอย่างที่น่ากังวลคือ Valuation ของ Snowflake มันสูงมากครับ สูงที่สุดในกลุ่ม ถ้าธุรกิจดีจริงก็ดีไป แต่ถ้าวันใดเกิดพลาดขึ้นมา ผู้ถือหุ้นอาจจะนอนไม่หลับเอาได้ง่ายๆครับ
สิ่งที่ต้องติดตาม
สรุปคือบริษัทเขาดีแหละ อุตสาหกรรมโต สินค้าและบริการก็เป็นที่ต้องการ CEO ก็สายโหด สิ่งที่ยังตีไม่แตกคือ Valuation นี่แหละที่ผมไม่มั่นใจจริงๆว่าราคานี้มันใช่ไหมนะ ราคาแพงสุด แต่การเติบโตลดลง Economy of Scale มากขึ้น เป้าหมายชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าการแข่งขันจะเป็นยังไง ก็เลยตามมาด้วยสิ่งที่ต้องติดตามถ้าอยากจะเป็นเจ้าของ Snowflake ครับ
รายได้ อันนี้ผมว่าติดตามไม่ยากอยู่แล้ว แต่กว่ารายได้จะโตลดลงให้เห็นหุ้นอาจจะลงไปแล้วหลายสิบเปอร์เซ็น ดังนั้นอาจจะต้องดู...
การเติบโตของ RPO ว่ายังสามารถโตได้อย่างต่อเนื่องไหม เพราะ RPO คือสิ่งที่จะ Book เข้ามาเป็นรายได้ในอนาคต กว่า 50% ของ RPO จะกลายเป็นรายได้ที่บริษัทรับรู้ได้ภายใน 1 ปีจึงพอบอกเทรนด์ของรายได้คร่าวๆได้ครับ
จำนวนลูกค้าและจำนวนลูกค้าที่ใช้จ่ายมากกว่า $1M+ ขึ้นไป ผมเชื่อว่า Cloud อ่ะยังไงลูกค้าก็ต้องใช้แต่เขาจะเลือกไปกับใคร ใช้ใครเป็นเจ้าหลัก จำนวนลูกค้าที่มากกว่า $1M+ จะบอกเราได้ว่ามีลูกค้าเลือกจะไปกับ Snowflake มากขึ้นเรื่อยๆ
Net Revenue Retention Rate สิ่งที่บอกว่าลูกค้ายังใช้บริการ Snowflake เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย Valuation แบบในปัจจุบัน การลดลงของรายได้ อัตราการเติบโต หรือตัวเลขใดๆก็ตามจะทำให้เกิดความกังวลในตลาดและอาจตามมาด้วยการขายครับ
พัฒนาการของคู่แข่งสำคัญที่สุดน่าจะเป็น Google Big Query ผมเข้าใจว่าช่วงหลังๆมาแรง Amazon Redshift ก็ตามมาติดๆ ส่วนคู่แข่งอื่นๆก็มี Yellowbrick และ Panoply ที่ทำธุรกิจ Data Warehouse และเป็น Pure SaaS และก็จะมีบริษัทที่กำลัง IPO อย่าง DataBrick และ Start-Up
สรุป
ส่วนตัวคิดว่าแม้ Snowflake จะทำรายได้เติบโตได้ตามเป้า แต่ด้วย Valuation ที่สูง ถ้าจะซื้อก็คงต้องหาจังหวะที่หุ้นลงมาหนักๆ ช่วยลดโอกาสดอยได้มาก แล้วถามว่าในช่วงที่ผ่านมาลงมาหนักหรือยัง? ผมว่ากลางๆ
ในมุมคุณภาพผมคิดว่า Snowflake มีโอกาสที่จะเติบโตสูงมากในพื้นที่ๆบริษัทเป็นผู้นำอยู่ แถมยังได้ความได้เปรียบจากการปรับเข้าสู่กระแส Cloud ตั้งแต่เนิ่นๆ บริษัทก่อตั้งในปี 2012 เป็นบริษัทแรกๆที่เข้ามาทำ Data Cloud เลยครับ
ธุรกิจดี อุตสาหกรรมโต เป็นผู้นำในตลาด เสียอย่างเดียวราคาแพงไปหน่อย กลยุทธ์ในการซื้อที่ดีที่สุดอาจจะเป็นการ DCA แล้วถือไปยาวๆ 3-5 ปีครับ
ก่อนจากกันไป อย่าลืมกด Subscribe บทความไว้นะครับ ผมเขียน Deep-Dive อาทิตย์ละ 1-2 บทความ ถ้า Subscribe ไว้ระบบจะส่งบทความไปให้ทางอีเมลล์ครับ ^^
หรือจะแอดไลน์กันไว้ก็ได้ครับ จะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ Trendlongtun LINE