หุ้น SHOP Shopify โตด้วยเทรนด์ Direct-to-Consumer [Deep Dive]
ปลดปล่อยร้านค้าจากการเป็นทาส Amazon [Deep Dive]
หุ้น SHOP Shopify นี่ผมสัญญากับ Supporter ของเพจไว้ว่าจะเขียนออกมาให้อ่านกันครับ วันนี้ผมทำตามสัญญาแล้วนะครับ มาช้าแต่มาจริงนะฮะ 555
หนึ่งในเทรนด์ขนาดใหญ่ในอดีตที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมากตั้งตัวได้ และประสบความสำเร็จมากมายคือเทรนด์ค้าปลีก Modern Trade ช่วงที่มีการแย่ง Market share หนักๆตอนที่ร้านโชห่วย หรือ Traditional Trade ยังไม่ทันตั้งตัว ถัดมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งจาก E-Commerce ที่มา Disrupt Modern Trade อีกที
ในปัจจุบันผมเชื่อว่ามีอีกเทรนด์นึงที่ถือว่าเป็น Subset ของ E-Commerce คือเทรนด์ Direct to Consumer หรือขายการตรงให้ลูกค้าโดยไม่ผ่านตัวกลาง ที่เป็น Marketplace อย่าง Amazon Shopee หรือ Lazada
เมื่อก่อนพ่อค้าแม่ค้า (หลังจากนี้ขอเรียก Merchant นะครับ) ไม่มี Know-how ไม่มีเครื่องมือช่วยในการขายออนไลน์ทางที่ดีที่สุดคือการพึ่ง Marketplace ที่มีเครื่องมือช่วยเหลือให้ใช้มากมาย ซึ่งช่วงแรกก็ดี Marketplace เปรียบเสมือนนางฟ้ามาโปรด ตอนเปิดใหม่ไม่คิดตังค์ค่าใช้ แถมมีโปรโมชั่นมาช่วยขาย คนก็แห่กันไปขายบน Marketplace ยิ่งมาเจอตอนปิดเมืองยิ่งบูมมากๆ Merchant Happy ไปตามๆกัน
หลังจากนั้นไม่นานพอเปิดเมืองวอลุ่มการขายลดลง กำลังซื้อถดถอยจากภาวะเงินเฟ้อ และการขึ้นดอกเบี้ยทำให้สภาพคล่องในระบบลดลง เงินที่ Marketplace เคยเอามาสาดเล่นปั๊ม User เข้าระบบ ด้วยแนวคิดที่ว่าทำให้คนติดทั้งคนซื้อและคนขาย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตย่อมเพิ่มอำนาจต่อรอง แล้วค่อยเก็บตังค์ทีหลัง ไม่นานนางฟ้าจึงเริ่มกลายเป็นนางมาร
เริ่มขึ้นราคาค่าธรรมเนียมต่างๆในการขาย สินค้าตัวไหนขายดี เอาคู่แข่งมาขายแข่ง หรือออก Housebrand มาขายเอง (เคส Amazon) หรือไม่ก็เน้นโฆษณา ถ้าไม่ยอมจ่ายก็อย่าหวังจะได้ตำแหน่งดีๆในการขายอีกเลย เกิดเป็น Pain ของ Merchant ทั้งรายเล็กรายใหญ่ที่ สะเทือนตั้งแต่ Nanyang ยัน Nike ทุกคนต้องหาหนทางปลดปล่อยตัวเอง ไม่งั้นต่อไปกำไรคงลดลงเรื่อยๆ
Shopify คือหนึ่งใน Software สาย E-Commerce ตัวท๊อปของวงการ ที่มีค่าตัวเบื้องต้นที่ $1 ต่อเดือน (ช่วง Trial 3 เดือน) Merchant จะได้ Software E-commerce ที่ทำได้เกือบทุกอย่างตั้งแต่จัดการหน้าร้าน จัดการ Stock จัดการฐานลูกค้า เก็บเงินลูกค้า ยันส่งของ คืนสินค้า Upsales Crosssales ทำมันได้เกือบทุกอย่าง สามารถใช้ได้ทุกช่องทางแบบ Seamless จาก Online to Brick-and-Mortar เลยทีเดียว ซึ่งแต่ละแพคเกจจะทำได้แค่ไหนเป็นตาม Tier ของ Shopify ที่จ่ายเงิน จ่ายน้อยทำได้น้อย จ่ายเยอะก็ปลดล๊อค Feature ได้เยอะ
Shopify เชื่อว่าการทำ E-Commerce ที่ดี Merchant จะต้อง Own Relationship with Customer หมายความว่าต้องสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ และฐานลูกค้าที่มีต้องเป็นของ Merchant ไม่ใช่มี Marketplace มากั้นจ้องเก็บหัวคิวทุก Activity แต่การจะทำแบบนั้นได้คือต้องทำ Software ให้มีความสามารถเทียบเท่าหรือมากกว่า Software ที่ Marketplace ให้กับพ่อค้า ถ้าจะให้เทียบคือ Shopify เหมือนเป็นชุด Ironman ให้ Merchant ใส่ไปลุยสงคราม E-Commerce นี่เอง
หุ้น SHOP น่าสนใจยังไง? - ธุรกิจ Central Nervous System for D2C Commerce ราคาไม่แพง มุ่งหน้าสู่กำไรกับการกลับมาเติบโต
Shopify ถือเป็นหนึ่งใน Leading Commerce Software ที่ครบวงจรมากๆ เรียกว่าครบวงจรจนบริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัท คิดว่าการทำระบบขึ้นมาเองไม่คุ้มแล้ว เพราะ Shopify ทั้งถูกกว่าและเก่งกว่า ผบห.บอกว่าจะทำให้การไม่ใช้ Shopify ของ Enterprise ทั้งหลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่
หุ้น SHOP ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก COVID แต่ด้วยความเป็น Platform ที่มี Retention ที่สูง ทำให้แม้หมด COVID กลับมาเปิดเมือง แต่ฐาน Merchant ที่โกยมาจากตอนนั้นยังคงอยู่กับ Shopify ทำให้การเติบโตของ Shopify อยู่บนฐานใหม่ ทั้งจำนวน Merchant และวอลุ่มการขาย
Business Model ที่กำไรง่ายโดยธรรมชาติ ฐานลูกค้าเองก็เยอะและได้ Scale แล้ว มีกำไรแล้วแต่ที่กำไรลดลงในปี 2022 เกิดจากการลงทุนเพิ่ม จ้างคนเพิ่ม ในขณะที่การเติบโตลดลง ซึ่งตรงนี้บริษัทแก้ไขไปแล้วส่วนหนึ่ง น่าจะเห็นผลที่ชัดเจนในช่วง 2H23 เป็นต้นไป
2Q23 จะเป็นไตรมาสที่พิเศษของหุ้น SHOP เพราะมีการขายธุรกิจ Logistic ออกไป แถมยังมีการลดพนักงานออกไปเยอะด้วย ตัว Bottomline จะไม่สวยแต่คาดว่าหลังจากนั้นจะสวยขึ้นเรื่อยๆ และถ้าหากการเติบโตกลับมาได้ กำไรน่าจะกลับไปโตสูงได้
การเติบโตกลับมาได้หรือไม่? ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย แต่ส่วนตัวคิดว่าคนเราถ้าติดการซื้อของ Online แล้ว ก็จะซื้อต่อไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมา Effect เปิดเมืองน่าจะ Priced in ในราคาหุ้นไปหมดแล้ว
Attach Rate หรืออัตราส่วนรายได้ที่บริษัทเทียบเป็นสัดส่วนกับ GMV (Gross Merchandise Value) ทำ All Time High สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา หลังไม่เคยเพิ่มเลยมาเกิน 5 ปี ทำให้คลายความกังวลเรื่องการแข่งขันและอำนาจต่อรองของบริษัท ว่าไม่สามารถดึงเงินจากกระเป๋าลูกค้าได้เพิ่ม
Product ของบริษัทมีการขยายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถเก็บเงินจากลูกค้าได้มากขึ้น จาก Value ที่บริษัท Deliver สูงขึ้น ไม่ใช่อยู่ดีๆเอะอะก็ขึ้นราคา อันนี้มี Value proposition ที่ชัดเจน
Valuation ที่อยู่ในระดับไม่แพง สำหรับธุรกิจที่เป็น Mission Critical Software มี Retention สูง และมี Flywheel ที่แข็งแกร่งและโดดเด่นมากๆในกลุ่ม Merchant ที่ขายของแบบ Direct-to-Consumer
AI คือเทรนด์ที่จะทำให้ SHOP ได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก จากการเป็น Leader และข้อมูลที่มีมากที่สุดในวงการ ผมคิดว่าคนได้ประโยชน์สูงสุดจาก AI คือเจ้าของ Platform (เอา AI ไป Plug-in กับ Platform ที่ไม่เก่งก็ไม่ช่วยให้เก่งขึ้นมา อาจจะหนักกว่าเดิม ส่วน Platform ไหนที่เก่ง ใช้เป็น ใช้คุ้มโอกาสได้ประโยชน์สูงมาก)
เป้าหมายบริษัทที่ Ambicious มากๆ โดยการเป็นบริษัทที่ Prioritized Long-term value โดยตั้งเป้าจะเป็นบริษัทที่มีอายุมากกว่า 100 ปี เป็น The Best Commerce Platform in the World เอาจริงๆปัจจุบันนี้ถ้าไม่นับสาย Marketplace ผมว่า Shopify ก็แทบจะบรรลุเป้าหมายนี้ไปแล้ว เหลือที่ว่าทำไงต่อให้ครบ 100 ปี (Shopify ก่อตั้งในปี 2006 ตอนนี้ก็อายุประมาณ 17 ปี เหลืออีก 83 ปีครับ 555)
ธุรกิจของ Shopify - Infrastructure ด้าน Commerce สำหรับMerchantทุกขนาด ครบวงจรตั้งแต่คลิกแรกยันเปิดประตูรับสินค้า ไปจนถึงการ Cross-selling เป็นลูกค้ากันไปยาวๆ
SHOP มี Mission คือการ "Making Commerce better for everyone" ทำให้การค้าขายในง่ายขึ้นสำหรับทุกคน ลดกำแพงช่วยให้คนสามารถเป็นเจ้าของกิจการ เป็น Entrepreneur ได้ง่ายขึ้นผ่าน Platform ของ Shopify
Shopify ช่วยอะไร Merchant ได้บ้าง? คำตอบคือรูปด้านบน โดย Shopify เริ่มต้นจากการทำหน้าร้านก่อน แล้วก็เพิ่มมาเรื่อยจนล่าสุดมี Shopify Capital สำหรับปล่อยสินเชื่อให้ Merchant ด้วยแล้ว มี Shopify Audience มาช่วยทำการตลาด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ Shopify ทำมาจากการเป็น Merchant-first focus คือทำ Product มาตอบโจทย์ Merchant ในระบบ เอาความต้องการของ Merchant เป็นหลัก Product หลายๆอย่างอาจไม่ต้องเริ่มต้นด้วยการทำเองเช่น BNPL ที่ Partner กับ Affirm การเอา GLBE มาช่วยเรื่องการส่งออกด้วยการทำ Market Pro เอา Paypal หรือแม้แต่ Amazon Pay มาเป็น Solution ในการจ่ายเงินเป็นต้น
สิ่งที่ Shopify กำลังพยายามผลักดันล่าสุดคือการทำให้ Merchant สามารถเริ่มต้น "First sale to full scale" ให้ได้เร็วที่สุด ตั้งแต่ทำเว็บไซต์ขายสินค้าชิ้นแรกยันขายไปรอบโลก จนสุดท้ายบริษัทนั้นสามารถตั้งตัวถึงขั้นเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นได้เลย เช่น Allbird, FIGS เป็นต้น และความพีคคือขนาดบริษัทเหล่านี้เข้าตลาดหุ้นได้แล้ว แต่ก็ยังใช้ Shopify อยู่ดี ไม่ได้เปลี่ยนไปทำระบบเองแต่อย่างใด อันนี้บ่งบอกได้ถึง Value ของ Shopify ที่มีให้กับลูกค้ามักมากกว่าเงินที่ลูกค้าจ่ายไปมาก
ถ้าใครตามธุรกิจ SaaS (Software as a Service) มาก่อนจะรู้ว่า SaaS ส่วนใหญ่จะทำธุรกิจด้วยการทำ Total Cost of Ownership (TCO) หรือค่าใช้จ่ายในภาพรวมทั้งหมดรวมค่าคน ค่าพนักงาน ค่าอื่นๆและค่า Software ให้ต่ำกว่าที่ลูกค้าทำเองใน Scale ที่ใกล้เคียงกัน Feature คล้ายๆกัน
ดังนั้นโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนไปทำเองนั้นยากมากๆ ซึ่งอันนี้จะต่างจาก Software บ้านๆที่เราคุ้นเคยกันในประเทศไทย ใช้ๆไปพอลูกค้ารวยขึ้น เขาทำเองคุ้มกว่า ทำให้ธุรกิจ Software ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก ไม่ได้สร้าง Value และไม่ได้พัฒนาต่อเนื่องมีความเสี่ยงที่แตกต่างกับ Software ระดับเทพที่ลูกค้าไม่มีวันพัฒนาตามทัน นึกภาพ Photoshop Salesforce Office 365 ทำตามทันนี่ผมกราบเลยจริงๆ
ดังนั้นถ้าเอา Software ที่เรียกได้ว่าไม่ได้ซับซ้อนมาก มาเทียบกับ Software ระดับโลกที่มี Value Proposition สูงเสียดฟ้า แต่ Total Cost of Ownership ต่ำเตี้ยเลี่ยดิน ด้วย Valuation Multiple แบบเดียวกันมันก็ผิดแต่แรกแล้ว
เพราะพื้นฐานของทั้งสองแบบไม่เหมือนกันเลย ผมเคยเจอเวลาบทวิเคราะห์ทำการประเมิน Software ในประเทศแล้วเอาไปเทียบ P/E หุ้นต่างประเทศ .... มันเหมือนเอาจาพนม ไปเทียบ The Rock อ่ะครับ คือแสดงบท Action เหมือนกัน แต่มันคนละเรื่องเล้ยยยยย อีกอย่างที่เจอบ่อยคือเทียบ Software ที่มี Model ธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน เอามาเทียบกันก็จะทำให้ไม่ตรงแต่แรกแล้ว
Business Model ของ Shopify - Land and Expand แบบ Infinity Lock in Merchant เนียนๆ
Shopify ทำเงินจากรายได้ 2 แบบด้วยกัน คือ ...
1. รายได้ Subscription Solutions 26% ของรายได้รวม คือรายได้ค่าใช้ Software ต่างๆของ Shopify ตั้งแต่ปีละ 19 ดอลลาร์ ไปจนถึง 299 ดอลลาร์ โดยผู้ใช้สามารถเพิ่ม Add-on ได้ด้วย เช่นถ้าจะเอา Shopfiy Plus เพิ่มอีกเดือนละ 2000 ดอลลาร์ และถ้าซื้อ Apps ซื้อ Theme เพิ่มเติมก็เสียเงินเพิ่มอีก
จุดนี้ผมเคยอ่านเจอว่าคนใช้ Shopify ไม่เคยจบที่ Basic มันจะไปจบที่หลักแถวๆ $1000 ต่อเดือนถ้ามีการทำร้านขายของอย่างจริงจัง เพราะต้องซื้อ Function นู่นนี่เพิ่ม นึกภาพคล้ายๆ Wordpress ที่คนทำเว็บต้องซื้อ Theme ซื้อ App เสริมมาใช้ แม้แต่ Salesforce เองก็จะมี App ที่ต้องซื้อเพิ่มเช่นกัน
โดยรายได้ประมาณ 59% ของส่วน Subscription จะมาจาก Core Revenue คือค่าสมาชิก Shopify ปกติ ส่วนอีกที่เหลืออีก 30% มาจาก Shopify Plus อีก 11% คือรายได้อื่นๆ
2. รายได้จาก Merchant Solutions 74% อันนี้เป็นรายได้จากการบริการลูกค้าเสริม เช่นค่าธรรมเนียมจากการจ่ายเงินผ่าน Shopify Payment ค่าธรรมเนียมการส่งของ รายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจาก Shopify Capital และรายได้จากการขาย Hardware POS รายได้ส่วนนี้คือรายได้ที่เติบโตตาม GMV แบบชัดเจน เพราะยิ่งมีการซื้อขายผ่านระบบของ Shopify มากขึ้น ยิ่งทำให้รายได้ส่วนนี้สูงขึ้นครับ
สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ E-Commerce การวัดการรับรู้รายได้จะวัดโดยการเทียบกับ GMV หรือ Gross Merchandise Value ซึ่งคือตัวบอกมูลค่าของสินค้าที่มีการขายผ่านระบบของ Shopify ทั้งหมด ณ.ปัจจุบันรายได้ที่ Shopify ทำได้มีสัดส่วนเป็น 3.04% ของ GMV ทั้งหมดตรงนี้เราเรียกว่า Attach Rate ความหมายคล้ายๆกับ Take Rate แต่ Attach Rate เป็นการเอารายได้ทั้งหมดไปเทียบกับ GMV ตรงๆเลย ส่วน Take Rate จะเป็นอัตราคิดค่าธรรมเนียมที่ธุรกิจคิดกับลูกค้าเป็นรอบๆไปมากกว่า
Attach Rate ของ Shopify ทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 3.04% โดยที่ถ้าย้อนหลังกลับไป 5 ปี Attach Rate ของ Shopify ไม่เคยเพิ่มขึ้นเลย จนคนเริ่มคิดแล้วว่า หรือเป็นเพราะการแข่งขันที่ดุเดือดทำให้บริษัทไม่สามารถขึ้นราคาได้? (อยู่อุตสาหกรรมเดียวกันกับ Amazon ใครๆก็มักจะมองว่าแข่งขันสูง)
Attach Rate เพิ่มขึ้นแปลว่าบริษัทสามารถทำเงินจากลูกค้ากลุ่มเดิมได้มากขึ้น ซึ่งสำหรับธุรกิจ Software มักจะมาจากการที่ลูกค้าใช้บริการ Function ต่างๆเพิ่มขึ้น เช่น ตอนแรกอาจจะใช้บริการแค่ Shopify ธรรมดา จ่ายเดือนละ 19 ดอลลาร์ ปีละ 228 ดอลลาร์
ซักพักอยากใช้บริการจ่ายเงินของ Shopify ถัดมาร้านใหญ่ขึ้นอยากได้ฟังก์ชั่นเพิ่มก็มาใช้ Shopify Plus และเริ่มใช้ Shop Pay เพื่อให้ลูกค้าสะดวกสบายเพิ่มขึ้นตอน Check out หลังจากนั้นเริ่มขยายออกต่างประเทศ ก็ใช้ Shopify Shipping ช่วย รวมถึงอาจใช้ Market Pro ด้วยเพื่อให้ระบบทำหน้าร้าน ยื่นภาษี ทำเรื่องส่งของต่างประเทศให้ พอขายไปมากๆจนยอดไม่ค่อยโตแล้ว หันมาเพิ่ม BNPL ของ Shopify ที่ Partner กับ AFRM มาใช้เพิ่มยอดขายได้อีก 30% แต่จ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มนิดหน่อยโตต่อได้อีก
ทั้งหมดนี้ไปสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้ Merchant ที่เมื่อก่อนไม่ได้มีศักยภาพมากขนาดนั้นจึงต้องไปพึ่ง Marketplace อย่าง Amazon หรือ Lazada และยิ่งใช้ Function ของ Shopify มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้โอกาสจะย้ายออกไปใช้อย่างอื่นยิ่งยากเป็นทวีคูณ ส่วนตัว Shopify เองก็กลายเป็นจุดศูนย์รวมของ Merchant มหาศาล สามารถเอาข้อมูลมาทำ Product ใหม่ๆมาบริการ Merchant เพิ่มเติมอีก
ล่าสุด Shopify ออก Product และ Feature ใหม่ๆมากถึง 100 รายการ มีตั้งแต่บริหารจัดการหลังร้านไปหน้าร้าน ไปปิดการขาย ยันไปถึงการทำ Customer Retention ให้กลับมาซื้อ โดยแต่ละ Product หรือ Feature ที่ทำออกมาก็เพื่อให้Merchantสามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
ทั้งหมดนี้แม้ไม่บอกก็พอจะรู้ว่า Net Revenue Retention ของ Shopify น่าจะไม่ธรรมดา บริษัทไม่เคยบอกตัวเลขนี้แต่จากข้อมูลที่แอดไปหามาคิดว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 110-120% ไม่สูงมาก แต่ถ้าเทียบกับบริษัทใน Vintage เดียวกัน ฐานลูกค้าประมาณนี้ ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว
กลุ่มลูกค้าของ Shopify มีอยู่หลักๆ 3 กลุ่มด้วยกันคือ Entrepreneur Merchantรายย่อย ทำธุรกิจแล้วดีก็กลายเป็นบริษัทขนาด SMB ไปจนถึงบริษัทระดับ Large Brand อย่าง Nestle หรือ Heineken สิ่งที่ผมคิดตอนศึกษาหุ้น Shopify ตอนแรกคือบริษัทใหญ่ๆน่าจะสามารถทำ Platform เองได้และอาจเลิกใช้บริการ Shopify หรือเปล่า อะไรคือความได้เปรียบของ Shopify กับลูกค้า?
Competitive Advantage - Product เยอะมาก Ecosystem ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกันแบบ End-to-End คนสู้ได้อาจจะมีแค่ Amazon
การจะเข้าใจ Competitive Advantage ของ Shopify ต้องเข้าใจ Flywheel ของ Shopify ก่อนว่าอะไรทำให้ความได้เปรียบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ Shopify เริ่มต้นที่การสร้าง Software สำหรับ Commerce ทำให้เริ่มมี Merchantเข้ามาใช้บริการ เมื่อเข้ามาใช้บริการแล้วบริษัทมี Economie of Scale มากขึ้น แข็งแกร่งมากขึ้นก็ออก Product และ Feature ใหม่ๆมาช่วย Merchant ขายของ ผลที่ตามมาคือ Merchant ขายของได้มากขึ้น ไปบอกกันปากต่อปากได้ Merchant เข้าระบบมาเพิ่ม ก็ทำให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้นอีก ออก Product และ Feature เพิ่มวนๆไป
จริงๆแล้ว Flywheel แบบนี้ก็เป็นเรื่องค่อนข้างปกติทั่วๆไปของ Software แต่จุดเด่นของ Shopify ผมว่าอยู่ที่ความ Stickiness ของ Platform ที่ลูกค้าใช้แล้ว ไม่ค่อยเลิกใช้ และไม่ค่อย Multi-Homing ด้วยราคาและการไปพัฒนาเองก็ไม่คุ้ม ทำให้ฐาน Merchant ของ Shopify โตมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือน Snowball ที่ยิ่งกลิ้งยิ่งใหญ่ ด้วย Flywheel ที่ดี ลูกค้าที่มีความ Stickiness สูง ทำให้ 5 Forces ของ Shopify ค่อนข้างสวย
Shopify's 5 Forces Model
Bargaining Power of Supplier -> ต่ำ ด้วยฐานลูกค้าและ Volume GMV ที่มีทำให้ Shopify เป็นหนึ่งใน E-Commerce Platform ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใครได้มา Partner เอาระบบมา Plug-in กับ Shopify จะสามารถได้ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่พร้อมจ่ายเงินซื้อบริการทันที ดูตัวอย่าง AFRM และ GLBE ได้ ในขณะที่ถ้าทำได้ไม่ดี หรือ Shopify คิดว่าตัวเองทำได้ดีกว่าเมื่อไหร่ ก็สามารถออก Product มาลุยแข่งได้ด้วยทันที ดูตัวอย่าง Paypal กับ Shopify Payment ได้ การเข้ามาเป็น Partner กับ Shopify ต้องออกหุ้นให้ Shopify ถือลงทุนด้วย อันนี้บ่งบอกถึงพลังของ Shopify ได้อย่างชัดเจน
Bargaining Power of Customer -> ประเด็นนี้ผมขอแบ่งลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่ม คือ Entrepreneur และ SMB & Enterprise สำหรับ Entrepreneur Bargining Power of Customer ค่อนข้างต่ำ การใช้ Shopify แทบจะเป็นทางออกสุดท้าย เพราะไม่มีทางเลยที่จะมีระบบที่ครบถ้วนในราคาหลักไม่กี่ร้อยเหรียญได้
สำหรับ SMB และ Enterprise ผมก็คิดว่า Bargaining Power of Customer ก็ต่ำเช่นกัน ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าถึงจุดๆนึงถ้าขายดีจริงก็คงทำ Platform เอง แต่ดูจาก Ecosystem ของ Shopify แล้ว การทำเองให้เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับ Shopify นั้นเป็นไปได้ยากมาก การทุ่มงบทำอาจไม่คุ้มค่า เสียเวลา หลักฐานมีอยู่อย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ใช้ Shopify หรือบริษัทเล็กที่โตจนใหญ่ก็ยังไม่เลิกใช้ Shopify
ล่าสุด Shopify มีการออก CCS (Commerce Component by Shopify) ที่ทำให้บริษัทขนาดใหญ่สามารถใช้ Shopify ได้แบบ By Module หลายคนอาจมองว่าเพราะบริษัทใหญ่ไม่ใช้ Shopify เลยต้องทำแบบนี้ แต่ผมคิดว่าเขาไม่ใช่ไม่ใช้แต่เขาใช้ไม่ได้ตะหาก ด้วยระบบหลายร้อยล้านที่ลงทุนไป ระบบที่สุดแสนจะ Siloes Shopify เลยแก้เกมส์ด้วยการลากมาใช้บาง Module เปิดระบบของตนเองออกซะเลย ทำให้ลูกค้ารายใหญ่ได้ลองใช้ .... แล้วสุดท้ายก็รู้ว่าทำไปสู้ไม่ได้ ต่อให้ทำให้สู้ได้ก็ไม่คุ้มที่จะสู้ ระบบของบริษัทที่มีลูกค้าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านราย ซื้อ-ขายผ่าน Platform ปีละไม่ต่ำกว่า 200 Billion
บริษัทเคยบอกว่าจะทำให้การไม่ใช้ Shopify คือการตัดสินใจที่แย่ที่สุดของบริษัทยักษ์ใหญ่เลยทีเดียว .... อารมณ์เหมือนจะใช้ Cloud แล้วไปทำ AWS เองอ่ะครับ (อาจจะไม่ถึง Level นั้นแต่ไอเดียคือมันประมาณนั้นแหละ) พอนึกภาพออกเนอะ บริษัทที่ทำเองคงบ้าไปแล้วแน่ๆ
Threat of New Entrants -> สูง อุตสาหกรรมนี้อาจมีคนเข้ามามากมาย แต่ผมเชื่อว่าการจะพัฒนา Platform ให้ได้ในระดับเดียวกันกับ Shopify เป็นเรื่องยากมาก ถึงจะซื้อกิจการหลายๆอย่างมารวมกันก็ไม่ใช่จะมาแข่งกันง่ายๆ ผมคิดว่ามันผ่านช่วงยุค Software ที่ทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งหน้าใหม่เข้ามาแข่งได้ไม่ยากไปแล้ว ต่อจากนี้ไปคือการแข่งขันของ Winner ในยุคที่ผ่านมา ที่แต่ละรายก็พัฒนา Platform มาจนใหญ่และ Complex มาก แม้เป็นตลาดที่คนเข้ามาได้ไม่ยาก แต่ผมคิดว่ามันจะไม่ใช่ตลาดของรายย่อย หรือหน้าใหม่อีกต่อไปแล้ว เข้ามาได้ง่ายๆแหละ แต่จะได้แค่ลูกค้ารายเล็กมากๆ ใช้จ่ายน้อย พอเขาโตเขาก็ย้ายอยู่ดีเพราะ Function และ Feature ของรายใหม่จะไม่ตอบโจทย์เขา และถึงรายใหม่จะพัฒนามาให้ก็จะใช้เวลา และใช้ Resource เยอะ
Threat of Substitute Products -> กลางๆ คือมันมี Substitute Product เยอะเหมือนกัน แต่ Product ที่ตอบโจทย์ได้แบบ Shopify มีน้อยมากๆ ยกเว้นMerchantต้องลด Requirement บางอย่างลง แล้วไปจ้างคนทำเอง สุดท้ายมักจะไม่ค่อยคุ้ม แต่ถามว่าถ้าจะเลิกใช้ Shopify จริงๆทำได้ไหม ง่ายมากเพียงแค่กดไม่ Renew เท่านั้น แต่ที่ผ่านมาคือคนใช้แล้วไม่ค่อยออกกัน ยิ่งใช้นานยิ่งออกยาก ยิ่งใช้เยอะยิ่งออกยาก ยิ่งใช้แล้วรวยยิ่งไม่กล้าออกครับ
Industry Rivalry -> สูง ประเด็นการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้คือประเด็นที่ผมค่อนข้างห่วง เพราะแต่ละเจ้าเรียกได้ว่าเข้มและจัดเต็ม Resource แต่ละเจ้าไม่ธรรมดา ผู้เล่นในตลาดนี้ก็เช่น Wix, BigCommerce WooCommerce, Adobe Commerce (Margento) และคู่แข่งอ้อมๆอย่าง Platform ของ Marketplace เช่น Amazon ที่อาจลุกมาลุย Software สำหรับ Merchant เมื่อไหร่ก็ได้
แต่ละเจ้าจะมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน เช่น WooCommerce อาจจะง่ายสำหรับคนใช้ Wordpress BigCommerce อาจจะเหมาะกับบริษัทใหญ่ๆเป็นพิเศษ ส่วนที่ผมกลัวที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ Amazon แต่คือ Margento ของ Adobe ที่แม้ Scale จะยังไม่ใหญ่ แต่ถ้าไปอยู่กับ Adobe เมื่อไหร่ มันใหญ่ภายใน 2-3 ปีง่ายๆได้เลย
แล้ว Shopify จะแข่งกับการแข่งขันนี้แบบได้ยังไง? ผมคิดว่า Shopify จะชนด้วย 4 ประเด็นครับ
1. Ecosystem & Partner - เราจะเห็นว่า Shopify ตอนนี้พยายามขยาย Ecosystem และ Platform ไปเป็น End-to-End และมี Value Added มากขึ้น ก้าวข้ามคำว่า Commerce ไปอย่างอื่นที่สามารถมาเสริมธุรกิจได้เช่น BNPL หรือการทำ Shopify Fulfillment Network ซึ่งขายให้ Flexport ไปแต่ยัง Partner กันอยู่
2. Data & AI - ผมเชื่อว่าด้วยจำนวน Merchant ประมาณ 2 ล้านราย และ GMV มากกว่า 200 Billion ต่อปี จะทำให้ Shopify กลายเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำ AI ข้อมูลที่ไหลผ่าน Platform Shopify มหาศาลในแต่ละวัน
ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เล่นรายใหม่ หรือแม้แต่รายใหญ่บางรายก็ตามจะตามทันกันได้ง่ายๆ ผมเชื่อว่าในยุคถัดไป Data และ AI นี่แหละคือขุมทรัพย์สำคัญของทุกธุรกิจ และผลของมันก็คือจะทำให้ธุรกิจที่เป็นผู้ชนะอยู่แล้วทิ้งห่างผู้แพ้อย่างมีนัยยะ คำว่า Winner Take Most หรือ Winner Take All จะกลับมา Hype กันอีกครั้ง
3. Product - การออก Product ใหม่ๆด้วย Resource ที่บริษัทมีไม่ว่าจะเป็น Scale เงินทุน และ Data จะทำให้ Product และ Feature ของ Shopify ออกได้ตรงความต้องการของลูกค้า สุดท้ายกลายเป็น Platform ที่ตอบโจทย์ Merchant มากที่สุด อย่างการออก Shop Promise ที่การันตีลูกค้าว่าจะได้รับของในวันไหน ทำให้อัตราการปิดการขายสูงขึ้นถึง 30% เป็นต้น
ถ้าดู Timeline ของการ Launch Product Shopify จะเห็นว่าใน 1 ปี Shopify ทำอะไรไปเยอะมาก หุ้นเทพๆมักจะมีการพัฒนาที่ต่อเนื่องทั้งการพัฒนา Product ใหม่ และการปรับปรุง Product เก่า แม้ในยามที่ตลาดหรือเศรษฐกิจไม่เป็นใจแต่เราจะเห็นเขาพัฒนาตลอด ต่างกับหุ้นธรรมดาที่เวลาเจอปัญหา หรือมีปัจจัยภายนอกมากระทบ ทุกสิ่งทุกอย่างมักจะหยุด คำตอบที่ได้จากผู้บริหารคือรอให้เศรษฐกิจกลับมาดีก่อนแล้วค่อยโต
4. Community - สุดท้ายคือเรื่อง Community ของผู้ใช้ Shopify ไม่ว่าจะเป็น Apps Developer ที่พัฒนาแอปมากกว่า 10000 แอปใน Shopify จำนวนผู้ใช้ Shopify ที่มากกว่า 2 ล้านราย และจำนวน Shopify Partner ที่เป็นกองทัพมดตะลุยแนะนำคนมาใช้ Shopify มากกว่า 40000 คน ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างได้ง่ายๆ ผนวกกับ Ecosystem กับ Partner ทำให้ Shopify เป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งมากๆ
สรุปสั้นๆคือแม้จะมีคนทำ Product คล้ายๆกันมาก็จะแพ้เพราะปัจจุบัน Shopify ไม่ได้เป็น Single product Company แล้วถ้าบริษัทนั้นมี Product มากมายอยู่แล้วล่ะ? เช่น Amazon ก็จะต้องหาทางเพิ่ม App Developer และ Partner ต่างๆให้ได้แบบ Shopify แต่ประเด็นคือสมมุติจะ Partner กับ Meta หรือ Tiktok คิดว่าจะเอา Amazon ไหม เป็นเรื่องที่น่าคิด
ทั้งหมดนี้ทำให้ผมเชื่อว่า Shopify มี Competitive Advantage อยู่ไม่น้อยเลย แม้จะเป็นการแข่งขันที่สูง แต่บริษัทก็สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในเชิงของ GMV Share มาได้เรื่อยๆ ในขณะที่รายใหญ่อย่าง Amazon ลดลง มันบ่งบอกถึงข้อได้เปรียบบางอย่างที่ทำให้ Merchant หันมาขาย Shopify มากขึ้น
และด้วย Volume ของ Merchant ระดับนี้ก็พอจะพูดได้ว่า Shopify คือ Platform หนึ่งเดียวที่มีข้อมูลมากที่สุดในการขายแบบ Direct-to-Consumer และแน่นอนว่าถ้าบริษัทต้องการพัฒนา AI แบบจริงจัง (เอาจริงๆปัจจุบันก็มีอยู่แล้ว) Shopify จะถือเป็นหนึ่งใน Winning Candidate ที่มีโอกาสสำเร็จสูงมากเลยทีเดียว
ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ แต่ผมอยากให้ลองใช้บริการ Shopify ดู เว็บด้านล่างนี้คือเว็บที่ใช้บริการ Shopify อยู่ครับ
BlendJet - ร้านขายเครื่องปั่น Smoothie ส่งมาเมืองไทยด้วย โดนภาษีไม่เยอะแต่โดนค่าธรรมเนียมประมาณ 1 พันครับ ใครชอบ Smoothie ลองใช้ดูผมชอบมาก
Sephora - ร้าน Beauty ชื่อดังในกลุ่ม LVMH
Whole Foods Market - อันนี้ใช้หน้าร้านของ Shopify แต่ใช้บริการ Fulfillment ของ Amazon
Heinz - เปิดร้านขาย D2C ได้ภายใน 7 วันด้วยการใช้ Shopify
Fitbit - ใครใช้ Fitbit จะลองสั่งพวกสายดูก็ได้นะครับ (แต่ผมลองแล้วคุณภาพไม่ต่างกับใน Shopee เลย สั่ง Shopee เหอะ)
Tesla - ไม่ใช่ส่วนที่ขายรถนะครับ ตัว Store ที่ขายพวกของที่ระลึกใช้ Shopify Plus ครับ (FYI เขาไม่ส่งมาไทยนะ)
Decathlon - ร้านอุปกรณ์กีฬาชื่อดัง ระดับโลก โคตรใหญ่ก็ใช้ Shopify นะครับ (เว็บ Global ไม่ใช่เว็บไทย)
อันนี้เป็น List ของแบรนด์นอกนะครับ ส่วนแบรนด์ในไทยที่ใช้ Shopify ก็มี G2000, Mcdonalds, Wacoal และร้าน Thailandoutdoor ที่ผมไปซื้ออุปกรณ์เดินป่าบ่อยๆก็ใช้ Shopify ครับ
การเติบโต - เพิ่ม Product เพิ่ม Coverage ปรับราคา ลูกค้าเก่าอยู่ต่อ ขยายกลุ่มลูกค้าใหม่
Key การเติบโตสำคัญของหุ้นประเภท Platform มีอยู่ทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน 1. การเพิ่มจำนวนลูกค้า 2. การเก็บเงินลูกค้าเพิ่ม ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิด 2 อย่างนี้มักมาจาก Product และ Feature ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า หลายรอบติดต่อกัน ทำให้เกิดการบอกต่อปากต่อปาก และต้องการใช้บริการเพิ่ม ส่วนตัวผมเชื่อว่าเป็น Essence ของธุรกิจที่ยอดเยี่ยม เราจะมา Explore ประเด็นต่างๆกันครับ
ภาพด้านบนบ่งบอกถึง Product ทั้งหมดของ Shopify โดยแบ่งตามการใช้งานและสถานะของ Merchant จะเห็นว่า Product ของ Shopify เป็น "Full Suite of Mission Critical Solutions for Commerce"
Full suite คืออะไรคงไม่ต้องอธิบาย คำว่า Mission Critical คือการที่ Product นั้นๆมีความสำคัญในการทำหน้าที่ของมันแบบ "สำคัญเป็นอย่างยิ่ง" ผมเปรียบว่า Mission Critical Software คล้ายๆอากาศ คือเมื่อรันแล้ว ใช้งานแล้วไม่สามารถหยุดใช้ได้
นึกภาพเปรียบเทียบ Software ที่เอาไว้บริหารจัดการอีเมลล์ลูกค้า ถ้าล่มบริษัทก็คงลำบากหน่อยเพราะต้องมานั่งจัดการด้วยตนเองแต่ไม่ถึงกับตาย ของยังขายได้เหมือนเดิม ส่งได้เหมือนเดิม อีเมลล์อาจจะส่งช้าหน่อย
แต่ลองนึกภาพ Software ระดับ Mission Critical ที่ทำทุกอย่างให้ลูกค้าเป็นทั้งหน้าร้าน หลังบ้าน ส่งของ ถ้า Software นี้ล่มไปมันไม่ได้หมายความว่ารายได้ลดลง หรือทำงานลำบากขึ้น แต่มันคือรายได้หายไปเลยทันที (นึกภาพหน้าเว็บล่ม) ธุรกิจจะเสียโอกาสมหาศาลเกินกว่าราคาของ Software นั้นๆที่ต้องจ่าย
ยกตัวอย่าง AllBird มีรายได้ราวๆ 300 ล้านดอลลาร์จากการขายสินค้า ถ้าไม่ได้ขาย 1 วัน จะเสียโอกาสทำเงิน 820000 ดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งเป็นเสียโอกาสมหาศาลมากๆ มากกว่าค่าใช้ Software เยอะ ดังนั้นอำนาจต่อรองของ Software ที่เป็น Full-suite Mission Critical กับ Software ประเภท Point Solution (ทำหน้าที่ 1-2 อย่าง) และทำหน้าที่ๆอาจจะไม่ได้สำคัญมากจึงต่างกันมหาศาล
ในการเป็น Mission Critical ไม่ใช่มี Feature ที่จำเป็นอยู่ 1-2 อัน แต่ถ้ายิ่งมีเป็น 10 อันยิ่งทำให้สำคัญมากขึ้น Shopify เป็นบริษัทที่เกิดมาประมาณ 18 ปี ทำ Feature ที่ Add Value เพิ่มเติมให้กับลูกค้าเรียกเงินเพิ่มได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ถัดมาคือเรื่องการเพิ่ม Coverage บริษัทดีๆมักจะมีตลาดที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว 1 ตลาดหลังจากนั้นใช้ความแข็งแกร่งของตลาดนั้นเติบโตเข้าไปในตลาดใหม่ๆ ณ.ปัจจุบัน Shopify ให้บริการอยู่ทั้งหมดใน 175 ประเทศ มีคนที่ซื้อสินค้าผ่านเว็บที่ใช้ Shopify 561 ล้านคน .... แต่ Product และ Feature ที่อยู่นอกเหนือจาก Basic หรือ Shopify Plus ยังไม่ได้ Cover ไปหมด เช่น Shopify Payments พึ่ง Cover ไปได้ 22 ประเทศเท่านั้น ยังมีตลาดให้ขยายไปได้อีกเยอะ และมันไม่ได้ขยายยากเลยเพราะสามารถขยายผ่านฐานผู้ใช้ Shopify ที่มีอยู่แล้ว
ซึ่งลูกค้าของ Shopify ส่วนใหญ่ใช้ดีแล้วก็จะอยู่ต่อกันอย่างยาวนาน โดยมีสถิติด้วยว่าเมื่อเวลาผ่านไป Merchant จะมีการ Spend กับ Shopify เพิ่มขึ้น 1.5-3.4 เท่า ในระยะเวลา 4-5 ปี อันนี้เป็นสเน่ห์อีกอย่างของ Software ที่เป็น Mission Critical คือเป็นถังรองน้ำที่ก้นไม่รั่ว เติมน้ำต่อไปน้ำก็สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยมีค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดหรือหาลูกค้าน้อยมากๆ (เพราะเป็นลูกค้ากันแล้ว การ Upsale มันไม่ยากเท่าขายใหม่เริ่มจากศูนย์ ค่าใช้จ่ายจึงน้อย)
สุดท้าย Key สำคัญการเติบโตของหุ้นเทพคือการหาลูกค้าใหม่มาเติมได้เรื่อยๆ ซึ่งเมื่อก่อนนี้ Shopify จะเน้น Merchant รายย่อยที่เป็น Entrepreneur ต่อมาก็ SMB ด้วยความที่สองกลุ่มนี้ไม่ได้มี Resource ในการพัฒนา Platform E-Commerce ซักเท่าไหร่ ก็ปิดได้ง่าย แต่กลุ่มที่ปิดได้ยากคือกลุ่ม Enterprise พวกรายใหญ่มากๆเพราะเขามี Resource ในการพัฒนาระบบของเขาเอง แต่ .... สถานการ์ณกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อ Platform ของ Shopify เริ่มเก่งกว่าแบบเห็นได้ชัด
แต่ก่อนหน้านี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า Enterprise ใหญ่ๆเนี่ยเขามีของเขาอยู่แล้ว แล้วบาง Module ของ Software เขาไม่อยากใช้ของ Shopify เช่น ฐานลูกค้า หรือการต้องการคุมบางอย่างเองเช่นการบริหารจัดการหลังบ้าน (ใครทำงานกับ Enterprise จะรู้ครับว่าบริษัทใหญ่ๆเขาจะมีความกังวลมากเป็นพิเศษนิดนึงในเรื่องบางเรื่อง) เลยทำให้ที่ผ่านมาอยากใช้ Shopify ก็ใช้ไม่ได้
Shopify ก็เลยแก้เกมส์ด้วยการออกสิ่งที่เรียกว่า Commerce Component By Shopify หรือเป็น Shopify Version LEGO นั่นเอง และเป็น LEGO ที่เอาไปต่อกับระบบของลูกค้า Enterprise ได้ด้วย ปัจจัยนี้จะเป็นตัวลด Friction ในการ Integrate ระบบของ Shopify กับ Enterprise ลงครับ ทำให้ Enterprise สามารถ Mix & Match ได้ว่าอยากใช้ Module ไหนของ Shopify เช่น Enterprise บางที่อาจจะอยากใช้แค่การ Checkout ของ Shopify ก็ได้ เพราะมันเร็วและ Scalable มากๆ นึกภาพเว็บล่มตอนพวกวัน 11.11 12.12 อ่ะครับ คือ Infra ของบริษัทมัน Process คำสั่งซื้อไม่ทัน ด้วยเหตุผลอะไรก็ว่าไป ถ้ามาใช้ของ Shopify ซะก็จบ Tech Stack ใหม่ ความเร็วระดับเทพเจ้า Thor ไม่ต้องลงทุน Infra เอง ไม่มีความเสี่ยงด้วยประมาณนี้ครับ
ที่สำคัญต้องบอกว่าการที่บริษัทเข้าไปตีตลาดกลุ่มแบรนด์ขนาดใหญ่ และ Enterprise เนี่ยมันเพิ่ม TAM (Total Addressable Market) ให้กับบริษัทด้วยนะครับ จาก SMB ที่บริษัทมีตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 160 Billion รวม Entrepreneur กับ Enterprise ไปด้วยก็น่าจะมากขึ้นครับ
งบการเงิน - จากหมดหวังกลายเป็นเริ่มมีหวัง Valuation ไม่แพง กำลังกลับมากำไร ส่วนการเติบโตยังต้องลุ้น
ที่ผมบอกว่าจากหมดหวังกลายเป็นเริ่มมีหวัง เพราะ 2-3 ไตรมาสก่อน Shopify เป็นหุ้นที่แทบจะหมดหวังจริงๆครับ การเติบโตจากตอนปิดเมืองที่หายไปเยอะจนเหมือนจะไม่กลับมาโตอีกแล้ว Guidance ที่ผู้บริหารไม่กล้าให้ การ Layoff พนักงาน กำไรที่ดูเหมือนอาจไม่เห็นอีกแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้ผมคิดว่าปัจจัยร้ายๆต่างๆถูก Priced-in เข้าไปในหุ้นจนหมดแล้ว เพียงแต่ยังมีความงงๆไม่แน่นอนอยู่บ้าง และการเติบโตแรงๆยังไม่มีวี่แววที่จะกลับมา
เริ่มต้นที่รายได้กันก่อนจะเห็นว่าการเติบโตของหุ้น SHOP ไป Peak ช่วงปิดเมืองใน 1Q21 ตอนนั้นมีรายได้ที่เติบโตถึง 111% หลังจากนั้น 5 ไตรมาสการเติบโตชะลอตัวลงอย่างรุนแรง จากสาเหตุหลายๆอย่าง การเปิดเมืองคือหนึ่งในนั้น
การชะลอตัวลงของการเติบโตลงไปต่ำสุดที่ 15.6% แม้จะเติบโตเป็น Double Digit แต่ถ้าเทียบกับจุดสูงสุดที่ 111% ถือว่าต่ำลงเยอะมาก แน่นอนว่าคนที่ซื้อหุ้นช่วงพีคคงไม่ได้คาดหวังว่าการเติบโตจะลดลงมาถึงระดับนี้ เหตุการณ์รุนแรงมากในช่วงนั้น Shopify ถึงกับเลิกให้ Guidance กับนักลงทุนเพราะบริษัทเองก็ไม่รู้จะประเมินยังไง
ประเด็นสำคัญของ SHOP ยังมีอีกประเด็นคือเรื่องการเพิ่มคน ถ้าใครจำกันได้ช่วงนั้นบริษัทเทคหาคนกันยาก เน้นได้คนก่อน เพราะว่าธุรกิจกำลังเติบโตดี ประเด็นคือพอผ่านไป 6 เดือนธุรกิจเริ่มหดตัว แต่คนที่ไปจ้างไว้ยังต้องรับเข้ามา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายพุ่งขึ้นสวนทางกับรายได้ที่เติบโตลดลง สัดส่วน SG&A/Sales (GAAP) พุ่งขึ้นจาก 27% เป็น 35% กระทบ Operating Margin อย่างหนัก จากที่เคยกำไรสวยๆช่วงปิดเมืองต้องกลับมาขาดทุนอีกครั้ง
นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายหลัก SHOP มีโดนเรื่อง Stock-based compensation ที่เพิ่มขึ้น Loss on Equity and Other Investment ที่เพิ่มขึ้นด้วยจากการลดลงของราคาหุ้นที่ลงทุนไว้ เช่นหุ้น GLBE และ AFRM ตรงนี้เป็นรายการทางบัญชี ไม่กระทบกระแสเงินสดนะครับ
จาก Momentum ของการ Growth เยอะกลายเป็น Growth น้อยมากๆ จากกำไรกลายเป็นขาดทุน บรรยากาศการลงทุนที่ไม่เป็นใจ การขึ้นดอกเบี้ยของ FED ก็มีส่วน ส่งผลให้ Multiple ของ SHOP ก็มีการหดตัวอย่างรุนแรง EV/Sales (LTM) ลดลงจาก 70 เท่ามาเหลือ 5 เท่า
คำถามที่น่าสนใจในตอนนั้นคือเหตุการณ์แบบนี้จะกระทบหุ้น SHOP ไปได้อีกนานแค่ไหน?
การเติบโตของรายได้จะลดลง Forever หรือไม่?
SG&A จะเพิ่มขึ้น Forever หรือไม่?
ความผิดพลาดของ Shopify แก้ไขได้หรือเปล่า? ใช้เวลานานแค่ไหน?
ศักยภาพในการแข่งขันของ Shopify ยังคงอยู่หรือไม่?
เทรนด์ Direct-to-Consumer ยังเติบโตอยู่หรือไม่?
เหตุการณ์ที่กำลังกดดันหุ้นเป็นเหตุการณ์ถาวรหรือชั่วคราว?
ในสัมมนา Mission Critical ช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมา ผมเดิมพันว่า Shopify น่าจะ Bottom ในปี 2022 หรืออย่างช้าคือ 2023 (ตอนนี้เหมือนจะ Bottom ไปแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาครับ) เหตุการณ์หลายๆอย่างกำลังจะกลับข้างกันกับด้านบนด้วยหลายปัจจัย
Shopify มีการลดคน Lay-off พนักงาน 20% ซึ่งจะทำให้ผลกำไรของบริษัทดีขึ้นทันที หากยังสามารถเติบโตได้อยู่ ในข้อมูลหลายๆที่ที่บริษัทให้ข้อมูล มีการพูดถึงเรื่อง Profitability มากขึ้นเพราะตอนนี้บริษัทกำลังโฟกัสกับการสร้างสมดุลให้การเติบโตและการทำกำไร
การเติบโตน่าจะสามารถกลับมาโตเบาๆได้ อย่างน้อยๆ 20%+ จากฐานรายได้ที่ใหญ่ขึ้น ถ้ารวมปัจจัยการเติบโตที่ผมเขียนไปข้างบนคิดว่าไม่น่ายากเกินไปนัก ทีเด็ดของ Shopify มีอยู่อีก 2-3 ประเด็นเพิ่มเติมด้วยกันครับ คือ
1. Shopify มีการปรับราคาเป็นรายประเทศด้วยเริ่มต้นในช่วง 2Q23 นี้เลย จุดนี้น่าจะทำให้ประเทศที่มีเงินน้อยจ่ายน้อย ส่วนประเทศไหนรวยก็จ่ายเยอะหน่อย (อารมณ์เหมือนราคา Netflix อ่ะครับ) คิดว่าน่าจะเชิง Positive มากกว่า Negative
2. การขายสินทรัพย์ที่เป็นตัวดึงกำไรออกไป คือ Shopify Fulfillment Network และ Deliverr ให้กับ Partner ด้าน Logistic Flexport (Shopify ถือหุ้นอยู่ด้วยรวมประมาณ 19%) ตรงนี้จะทำให้งบเละมากในช่วง 2Q23 เพราะจะโดน Write-down ตัวสินทรัพย์ที่ขายออกไป (ซื้อมาแพงแต่ดันขายออกไปถูก) แต่หลังจากนั้นคิดว่าอัตราการทำกำไรน่าจะดีขึ้นเลย ไม่มีตัวดึงมาฉุดกำไรแล้ว
3. การกลับมาของกำลังซื้อในเชิงภาพใหญ่ และการคงดอกเบี้ยของ FED จะทำให้ความกดดัน Valuation ลดลง
การประเมิน Momentum และ Valuation ผมขอสรุปง่ายๆผ่าน Trendlongtun Diagram ครับ เพื่อนๆหลายท่านอยากให้ผมสรุปเรื่องการเงินแบบเข้าใจง่ายๆ อันนี้ผมจัดให้แล้วนะครับ อาจจะยังไม่ Perfect เพราะมีการปรับตัวเลขที่ใช้คำนวณเบื้องหลังอยู่บ้าง ตัวเลขทั้งหมดของเราที่ใช้คำนวณข้อมูลพื้นฐานล้วนๆนะครับไม่มีการใช้ Technical ครับ จะพยายามพัฒนาเรื่อยๆคิดว่าความแม่นยำน่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตครับ
วิธีดู Diagram ตัวนี้คือ เราจะมีการแบ่งหุ้นออกเป็น 4 Quadrants ด้วยกัน
1. Expectation Reset - จุด Bottom ของหุ้นและเริ่มต้นกลับมา Rally เป็น Uptrend อีกครั้ง จุดนี้เป็นจุดที่ผมชอบที่สุดในการซื้อหุ้น เพราะ Downside ต่ำ ข่าวร้าย Priced in ไปเยอะ Guidance แย่มาก มักจะมีการเติบโตที่ไม่ชัดเจน และมีปัจจัยกดดันหุ้นอยู่พอสมควร ถ้ามีข่าวดีมาหุ้นมีโอกาสดีดแรงมากๆครับ
2. Surprise Expectation - จุดที่หุ้นเริ่มปรับตัวเป็นขาขึ้น ข่าวร้ายเริ่มหายไป ข่าวดีเริ่มเข้ามา Guidance จะเริ่มสวยในจุดนี้ หุ้นจะเริ่มเห็น Bottom ที่ชัดเจนทั้งในเชิงราคาหุ้น และงบการเงิน
3. Positive Expectation - เป็นภาคต่อหลังจาก Surprise Expectation ครับ ผมให้ชื่อเล่น Quadrants นี้ว่า The Rosy Dream เทียบเป็นงานเลี้ยงก็อาจจะกลางๆงานแล้ว งบการเงินเริ่มสวย มีการปรับ Guidance แต่หุ้นอาจจะมีการวิ่งมาพอสมควรแล้ว
4. Peak Expectation - เป็นช่วงปลายของการ Rally ช่วงนี้การเติบโตของหุ้นอาจจะออกอาการหมดแรง Guidance จะเริ่มไม่ค่อยดี การเติบโตเริ่มชะลอตัว ช่วงนี้เป็นช่วงศึกษาครับ เพราะหุ้นจะให้เวลาเราศึกษาแบบไม่ต้องเร่งรีบ และเป็นโอกาสอีกครั้งในการซื้อหุ้นที่เราเคยพลาดไปจากการขึ้นรอบที่แล้ว Key สำคัญตรงนี้คือต้องแยกให้ออกว่าหุ้นแบบนี้คือหุ้นที่ไปต่อได้ และหุ้นแบบไหนคือจบเกมส์แล้ว
ไม่ว่าหุ้นจะอยู่ใน Quadrant ไหนผมจะ Pinpoint มันด้วย Valuation เสมอ โดยจะบอกว่าเป็น Attractive Valuation / Average Valuation / Stretch Valuation / Extreme Stretch Valuation ตรงจุดนี้ขึ้นอยู่กับผู้อ่านแต่ละคนเลยว่าเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรแบบไหน สามารถเลือกซื้อหุ้นได้ตามสิ่งที่ตนเองเป็นครับ ถ้าคุณเป็นนักลงทุนการซื้อที่ Stretch Valuation อาจมีความเสี่ยง แต่ถ้าคุณเป็นนักเก็งกำไร Stretch Valuation อาจเป็นช่วงที่ดีเพราะหุ้นจะทรงสวยมาก และยังมี Momentum ในเชิงพื้นฐานที่ดีทำให้ได้กำไรเร็วครับ
สำหรับ Shopify ผมคิดว่าอยู่ในช่วง Valuation ที่ค่อนข้าง Attractive นะครับ ไม่สูงไม่ต่ำไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเติบโตในอนาคตด้วยว่ากลับไปโตได้เร็วแค่ไหน และกำไรจะออกมาเป็นยังไง Shopify อยู่ใน Quadrant กึ่งกลางระหว่าง Surprise Expectation และ Expectation Reset นี่คือการก้าวข้ามสู่หุ้นที่ถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังจะเข้าสู่การเติบโตครั้งใหม่ แต่อาจจะไม่เร็วมากครับ เพราะยังต้องรอการเติบโตมา Drive อยู่
ความเสี่ยง - อยู่อุตสาหกรรมเดียวกับ Amazon การแข่งขันจากทั้งรายใหญ่ที่เข้ามา การเติบโตอาจกลับมาช้ากว่าที่คาด
พูดถึงเรื่อง Commerce หลายๆคนจะคิดถึง Amazon แน่นอนเพราะเขาเป็นเจ้าตลาด ดังนั้นความเสี่ยงใหญ่ของ Shopify คือการเข้าตลาดของ Amazon ด้วย การทำ Software แบบ Shopify เชื่อว่า Amazon ก็ทำได้ การสร้าง Ecosystem แบบ Shopify ก็ทำได้เช่นกัน แต่ประเด็นที่ผมคิดว่าน่าคิดคือ Amazon จะใช้เวลาเท่าไหร่ Amazon จะทำไหมเพราะอาจจะ Canabalize ระบบ Marketplace ของตนเองส่วนนึง และ คนจะใช้หรือไม่? ถ้า Pain point คือการย้ายหนีออกจาก Amazon แต่การไปใช้ Software ของ Amazon จะเหมือนเอาตัวเองเดินกลับเข้าถ้ำจระเข้หรือเปล่า?
เรื่อง Amazon จะทำไหม ผมคิดว่าตอบประมาณนึง เพราะล่าสุด Amazon มีการเปิดให้เอา Amazon Pay มาใช้แปะในเว็บตัวเองได้แล้ว แม้ไม่ได้ขายของอยู่ใน Marketplace ก็ตาม แม้แต่ Shopify ก็สามารถเอา Amazon Pay มาติดได้ และตอนนี้ก็กำลังเอามาอยู่ ถ้า Amazon เริ่ม Agressive ในจุดนี้ผมว่าจะสร้างผลกระทบได้ไม่น้อยเลย
คู่แข่งของ Shopify อย่าง Big Commerce และ Magento ที่ Adobe ซื้อไปก็ถือว่ากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว แม้จะมีจำนวน User ที่น้อยกว่าแต่ก็ถือว่าประมาทไม่ได้
การเติบโตของ E-Commerce ที่อาจกลับมาโตช้ากว่าที่คาดไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อาจจะเป็น Recession การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่กลับมาขึ้นมากกว่าที่คิด ส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดที่ลดลง อาจทำให้กำลังซื้อกลับไปอ่อนแอได้แทนที่จะ Recover
การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Shopify เอง จากการเป็น Software ที่ลงทุนไม่เยอะ ไปทำธุรกิจที่ลงทุนเยอะและ Return ช้ากว่า เช่น แบบที่เคยไปทำ Logistic เป็นต้น
การกลับไปเน้นการเติบโตแบบดุๆ ซึ่งอาจกระทบกับผลกำไรได้ แผนที่คิดว่าจะกลับไปกำไรอาจล่าช้า หรือไม่มาเลยก็ได้ ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทมีกลยุทธ์ในการเน้นเล่นเกมส์ยาว ดังนั้นถ้าเกิดเหตุที่ต้องให้บริษัทไปเน้น Growth เยอะๆ ภาพระยะสั้นอาจกระทบหนัก และระยะยาวเกิดความไม่แน่นอนได้
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ผมว่าความเสี่ยงที่หนักที่สุดของ Shopify คือเรื่องคู่แข่ง เอาจริงๆตอนนี้ผมยังมองไม่เห็นว่าคู่แข่งจะมาชนะ Shopify ได้อย่างไร แต่ถ้านับเรื่อง Resource แล้วก็ถือว่าทำได้ ไม่ว่าจะเป็น Amazon หรือ Adobe ดังนั้นการลงทุนใน Shopify อาจต้องจับตาทั้ง 2 เจ้านี้ไว้อย่างใกล้ชิด
สรุป - ชนะแต่ยังไม่ขาด บริษัทเน้นเกมส์ยาวซึ่งอาจสร้างความผันผวนในระยะสั้น แต่ข้อดีคิอหุ้นก็ไม่ได้แพงมาก ถือเป็นหุ้นขนาดกลางที่น่า Bet ไม่น้อยเลย
ดูจากคุณภาพของกิจการถือว่าปัจจุบัน Shopify กลายเป็นรายใหญ่ที่เป็นผู้นำเบอร์ 1 ไปแล้วล่ะครับ ในตลาด Commerce Software แต่แม้จะเป็นเบอร์ 1 แล้วแต่ Shopify ก็ยังมีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง อำนาจต่อรองกับลูกค้าถือว่าสูงประมาณนึงเลยทีเดียว แต่ยังถือว่าชนะไม่ขาดตราบใดที่ Amazon และ Adobe ยังมีลมหายใจ ซึ่งตรงนี้ประเมินยากมากๆ
ราคาหุ้นถ้าเทียบด้วย EV/Sales ถือว่าไม่ได้แพงมาก และมีจุดดีตรงที่ตลาด E-Commerce น่าจะกลับมาโตได้ รวมถึงบริษัทเองก็มีการขยายเพิ่ม Product มาดูดเงินจาก Merchant เพิ่ม ซึ่งผมชอบตรงนี้มาก ถือเป็นบริษัทที่ไม่งอมืองอเท้ารอตลาดกลับมาโต ซึ่งเป็น Trait ของหุ้นเทพข้อหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญมากๆเลยทีเดียว
Sizing ของบริษัทถือว่าไม่ใหญ่ไม่เล็ก สามารถโตได้อีกพอสมควร รายได้ณ.ปัจจุบันของ Shopify อยู่ที่ประมาณ 5.5 Billion ในขณะที่ TAM ของ Shopify ซึ่งเป็นการเอา Average Revenue per Merchant x จำนวน Merchant ทั่วโลก 68 ล้านราย นับเฉพาะ SMB จะอยู่ที่ 160 Billion ตรงนี้อยู่ที่แต่ละคนแล้วว่าจะตีความตรงนี้ยังไง? รายได้ของ Shopify ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3% กว่าๆเมื่อเทียบรายได้ทั้งหมดของ Merchant คิดว่าในอนาคตจะอยู่ที่เดิม? เพิ่มขึ้น? หรือลดลง? เพราะอะไร?
สุดท้ายผมว่าการจะลงทุนหรือไม่ลงทุนในหุ้นตัวไหน ข้อมูลณ.ปัจจุบันก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่สร้างความแตกต่างให้กับความสำเร็จในการลงทุนคือการเดิมพันกับอนาคต ซึ่งอนาคตใน Version ของนักลงทุนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมีความเข้าใจข้อมูลสำคัญมากน้อยแค่ไหน รู้ลึกรายละเอียดมากแค่ไหนครับ
สำหรับตัว Shopify ถ้าใครสนใจเจาะลึกเพิ่มเติมไปด้วยกัน ตอนนี้เพจกำลังมีสัมมนาใหม่ AI Commerce ซึ่งเน้นเรื่องกลยุทธ์ AI ของสาย Commerce โดยเฉพาะ มีการลงรายละเอียด Business Model / Product / Competitor / Competitive Advantage / Growth / Valuation รวมไปถึงการวิเคราะห์ผู้บริหารสุดขิงงงงง อย่างละเอียดครับ (ถ้าคิดว่าบทความนี้เจาะลึกละเอียดแล้ว อยากเชิญให้มาฟังในงานสัมมนาครับ รายละเอียดที่สำคัญผมจะเล่าในสัมมนาเพิ่มเติมครับ)
ข้อมูลในงานสัมมนาผมใช้เวลาทำประมาณ 2 เดือน สรุปย่อยให้จบได้ภายใน 16 ชม.ครับ แทนที่จะต้องศึกษาหาข้อมูลเdอง ผมเห็นสัมมนา AI Commerce เหมือนการนั่ง HyperLoop ไปถึงที่หมาย เข้าใจกลุ่ม Commerce แลพัฒนาการด้าน AI อย่างรวดเร็ว เอาไปต่อยอดได้ครับ ^_^
ในงานสัมมนาผมจะมีการวิเคราะห์หุ้นต่างๆก่อนเขียนลง Deep Dive ครับ Supporter ของเพจจะได้เห็นข้อมูลก่อน และละเอียดกว่า Deep Dive เจาะครบทั้ง 360 องศา และจะเน้นเป็นแบบ Case-base ครับ คือยก Case ตัวอย่างมาให้เห็นเลยไม่พูดลอยๆ ทำให้เข้าใจและเห็นภาพได้ง่ายขึ้นครับ
สัมมนาจัดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น Slide มากกว่า 500+ หน้า และ ได้รับสิทธิราคาพิเศษแค่ 50 คนเท่านั้นครับ และสัมมนารอบนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมให้สิทธิในการเข้ากลุ่ม Trendlongtun Deep Dive แบบไม่มีค่าใช้จ่ายนะครับ ถ้าใครสนใจหาหุ้นลงทุนกันยาวๆ ไม่อยากให้พลาดครับ
_________________________________________________
สัมมนาออนไลน์ Trendlongtun Deep Dive Webinar
||||| AI COMMERCE |||||
_________________________________________________
1 สัมมนา กับหุ้น E-Commerce 13 ตัวเน้นๆ เจาะลึก Case-study การใช้ AI และเทคโนโลยีในการสร้างการเติบโต และปิดการขายให้ลูกค้าตาดำๆอย่างเราหมดตัวแบบไม่รู้ตัว !!!
AI Commerce เป็นสัมมนาภาคต่อจาก AI Maker นะครับ AI Maker = ผู้สร้าง AI ... AI Commerce จะเป็นฝั่งผู้นำไปใช้งานมากกว่าดังนั้นเนื้อหาจะไม่เหมือนกันแต่มีความเชื่อมกันครับ สามารถดูแยกกันเข้าใจได้ครับ .... ตอนแรกก็ไม่คิดจะทำเร็วขนาดนี้ เพราะพึ่งทำ AI Maker ไปเมื่อราวๆ 7-8 เดือนก่อน
แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าไม่รีบทำตอนนี้ ผ่านไปอีก 6 เดือนอาจจะไม่ต้องทำแล้วก็ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันอาจจะแพงเวอร์ๆไปหมดแล้ว สุดท้ายได้ความรู้แต่จะเสียโอกาสการลงทุนดีๆไปต้องรออีกพักใหญ่ๆก็น่าเสียดาย ... อีกใจก็แอบรู้สึกอยากรองบ 2Q ออกก่อน แต่สัญชาติญาณมันบอกว่าอย่ารอเลย .... ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ผมรีบทำคอร์สนี้ก่อนคอร์สที่อยู่ในแผนครับ ใครสนใจมาจอยกันเชิญดูที่รายละเอียดด้านล่างได้เลยครับ
DAY 1 - MEGA-Commerce
10.00 - 10.30 ทำไมต้อง AI ทำไมต้อง E-Commerce
10.30 - 11.30 หุ้น AMZN Amazon & The Ecosystem เจ้าแห่ง E-Commerce และ Ecosystem ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
11.30 - 12.00 หุ้น WMT Walmart ผู้ท้าชิง E-Commerce การTurnaround ของ "อดีตราชา" แห่งวงการจะทำได้ไหม?
พักเที่ยง
13.00 - 14.00 หุ้น SE Sea Limited เจ้าของ Shopee เจ้าแห่ง "SEA"-Commerce
14.00 - 15.00 - หุ้น PDD Pinduoduo ผู้นำตลาดนัดออนไลน์ บุกตลาดสหรัฐฯ
พัก 30 นาที
15.30 - 16.30 - หุ้น MELI เจ้าแห่ง E-Commerce ใน Latin America
16.30 - 17.00 - Q&A
DAY 2 - STAR-Commerce
10.00 - 11.00 - หุ้น SHOP Shopify ศูนย์กลาง E-Commerce ของร้านค้าทั่วโลก โตด้วยเทรนด์ Direct to Consumer
11.00 - 12.00 - หุ้น AFRM เมื่อมี Commerce ต้องมี Payment การ Turnaround ของ ผู้นำ Buy Now Pay Later
พักเที่ยง
13.00 - 14.00 - หุ้น CHWY ร้านขายอาหารสัตว์ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด
14:00 - 15:00 - หุ้น STNE ม้ามืดของวงการ Commerce
พัก 30 นาที
15.30 - 16.30 - Alibaba Ecosystem แถมหุ้นที่ยังไม่เข้าตลาด ให้เอาข้อมูลไปตัดสินใจกันครับ
Cainiao ธุรกิจ 4PL Smart Logistic Platform
AliCloud Cloud ตัวท๊อปของเมืองจีน กับตลาด Cloud ที่กำลังกลับมาเติบโต
Lazada หัวหอกการเติบโตในระดับโลกของ Alibaba
Ant Financial Platform การเงินที่กำลังจะกลับมาเข้าตลาดอีกครั้ง
16.30 - 17.00 - Q&A
==============================
รายละเอียดงานสัมมนา
งานจัดวันที่ 22 กรกฎาคม 2566 และวันที่ 5 สิงหาคม 2566
เวลา 10.00 น. - 17.00 น.
สัมมนา 2 วัน ออนไลน์ 100% มีคลิปให้ดูย้อนหลังได้ตลอดไปครับ
จัดปีละครั้ง รับจำนวน 50 ที่นั่ง สำหรับรอบราคาพิเศษครับ
ราคาพิเศษเฉพาะการจองก่อนงานสัมมนาครับ หลังงานสัมมนาจะเป็นราคาปกติครับ
สไลด์ 500+ หน้า คัดเนื้อๆ มีทั้งเนื้อหาการใช้งาน การวางกลยุทธ์ของแต่ละบริษัทครับ
คอร์สนี้คือโอกาสสุดท้ายในการเข้ากลุ่ม Facebook Supporter และดูสัมมนารายเดือน Trendlongtun Deep Dive แบบฟรีเป็นเวลา 2 ปี กลุ่มจะใช้ในการสอบถาม Update ข่าว และมีสัมมนา Update หุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจรายเดือนให้ฟรีทุกเดือนครับ (ตอนนี้มีคลิปวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศและความรู้พื้นฐานต่างๆให้ดูแล้วกว่า 30 คลิป เช่นหุ้น TSLA, GLBE, RBLX, BYD, BABA, UPST, MBLY, AMD, NVDA เป็นต้น)
สิทธิในการเข้าร่วมสัมมนา Online ประจำปี "Trendlongtun 2024 Star Preview" และพอร์ตลงทุนหุ้นที่น่าสนใจในปี 2024 ครับ (สำหรับสัมมนาเก่าปี 2023 สามารถเข้าดูได้เลยในระบบครับ)
ลงทะเบียนจองสิทธ์และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ หรือกดที่ปุ่มด้านล่างได้เลยครับ
_________________________________________________
หรือถ้าอยากสอบถามข้อมูลเพิ่ม IB เพจ Trendlongtun ได้เลยครับ → https://m.me/trendlongtun?ref=av_ev
หรือ ADD Line แล้วถามได้เลยครับ https://line.me/ti/p/@trendlongtun
_________________________________________________