หุ้น ON Semiconductors ได้ประโยชน์จากเทรนด์ EV [Deep Dive]
ปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ เน้นกลุ่มสินค้า High Margin
ว่ากันว่าในยุคที่คนไปขุดทอง มีหลายคนได้ทองไปแต่ก็มีหลายคนที่เจ๊งไปเพราะขุดทองไม่ทันชาวบ้านเขา ตอนนั้นการขุดทองเป็นสุดยอดโอกาสในรอบ 10-20 ปี แต่ก็มีการแข่งขันที่สูงมากๆเช่นกันเพราะทุกคนแห่กันไปขุดทอง สุดท้ายมีคนที่ได้ประโยชน์จากเทรนด์การขุดทองครั้งนั้น คือคนขาย Picks หรือที่ขุดทองนั่นเอง
จากเรื่องนี้ทำให้ผมเรียนรู้ว่าทุกๆครั้งที่ผมมองหาหุ้นที่อยู่ในกระแส Megatrend เช่น EV ผมควรจะต้องศึกษาหุ้นที่ทำสินค้าสนับสนุน Megatrend ตรงนี้ไว้ด้วย เพราะส่วนใหญ่หุ้นที่อยู่ในกระแสมักจะราคาสูง แต่หุ้นที่ได้ประโยชน์มักจะมีราคาที่ต่ำกว่าและไม่แพงเท่า จึงเป็นที่มาของการเลือก ON Semiconductors มาคุยกันในวันนี้ครับ
ON Semiconductors เป็นหุ้นที่คนไม่ค่อยรู้จักกันซักเท่าไหร่ ... ไม่เท่าพวก Tesla Google Amazon แหละ Market cap ถือว่ายังเล็ก ขนาด 22 Billion เท่านั้น และเนื่องจากเป็นหุ้น Semiconductors ที่นักลงทุนในตลาดมักจะมองว่าเป็นหุ้นที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ราคาสินค้าผันผวนรุนแรง แถมอำนาจต่อรองกับลูกค้ามีน้อย จึงไม่น่าสนใจเข้าข่ายเป็นหุ้น Cyclical ที่มาและไปตาม Cycle ไม่น่าสนใจเท่าหุ้น Tech ที่บางตัว Asset Light และแทบจะเป็น Infinite Scalability ถ้าทำ Product ออกมาดี
แต่หลังจากที่ผมเข้าไปศึกษาเพิ่มเติม ผมว่าหุ้น ON เข้าข่ายการเป็นเครื่องมือขุดทองในยุคที่ทุกคนแห่ไปขุดทองรถ EV เป็นหุ้น Semiconductor ไม่กี่ตัวที่ผมว่าคุ้มค่าที่จะเจาะลึก และเป็นหุ้น Semi ที่ผมว่าน่าสนใจในเชิง Megatrend จริงๆมีอีก 2 ตัวเป็น Semi เหมือนกันแต่ขอไว้มาเขียนรีวิวเพิ่มคราวหน้านะครับ ^_^
อะไรทำให้ ON น่าสนใจ?
ธุรกิจอยู่ใน Megatrend EV+Smart Vehicle ที่จะเพิ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กล้อง และเซ็นเซอร์ต่างๆเยอะขึ้นมากกว่ารถ ICE โดยบริษัทประเมินว่ารถ EV / Smart Vehicle ต้องใช้ชิ้นส่วนจากบริษัทมากกว่ารถ ICE ถึง 30 เท่า
Product ของบริษัทซึ่งเป็น Segment Intelligent Power และ Sensing ที่กำลังมี Demand ความต้องการสูง
ชิ้นส่วนที่ทาง ON ทำเป็น Super Critical part / Life & Death situation ทำให้ Order ถ้าได้แล้วมักจะอยู่ยาวตามสไตล์ชิ้นส่วนรถยนต์ บริษัทไม่อยากเปลี่ยน Supplier บ่อยๆ
สัดส่วนรายได้ที่มีรายได้จากอุตสาหกรรมรถยนต์สูงถึง 37% Super Focus ในเรื่อง Intelligent Power และ Sensing เท่านั้น
บริษัทกำลังอยู่ในช่วง Restructuring ธุรกิจเน้น High Margin ทำให้รายได้อาจโตน้อย แต่กำไรจะเห็นแบบเน้นๆ
ประมาณการ FCF เพิ่มจาก 1 Billion เป็น 2 Billion โตเท่าตัวจากปี 2021 ภายในปี 2025 FCF Margin เพิ่มจาก 15% เป็น 25%
Model ธุรกิจแบบ Fab-Liter ผลิตเฉพาะสิ่งที่ยาก สำคัญและมี Value สูงๆเท่านั้น เน้น Fixcost ต่ำและ Outsource ของง่ายๆให้ Partner ผลิต
โอกาสที่ตลาดจะเกิด Tipping Point ให้เติบโตมากกว่าที่คาด จากที่คาดไว้ว่าอยู่ที่ 7-10% ต่อปี
Commitment ในการเติบโตเป็น 2 เท่าของตลาด โดยยังสามารถ Maintain Margin ได้ในระยะยาว
อุตสาหกรรม Semiconductor กำลังเกิดการ Consolidation ครั้งใหญ่ สุดท้ายจะเหลือบริษัทใหญ่ๆไม่กี่บริษัท
เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบหุ้น Tech เพราะไม่มีกำไรให้จับต้อง ตัวนี้ได้ประโยชน์จาก Tech แถมมีกำไรเน้นๆแล้วครับ วัดด้วย P/E ได้เลย
Forward P/E อยู่ใน Range ที่ไม่แพงเลยครับ ราวๆ 11 เท่า เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อกระฉูด ดอกเบี้ยขึ้นอย่างโหดในปัจจุบัน
โดยรวมผมว่าตอบโจทย์คนที่อยากได้หุ้นที่อยู่ใน Megatrend แบบไม่ Hype มากจนเกินพอดี มีความเติบโตไปเรื่อยๆ รายได้มีความชัดเจนประมาณนึงจาก Long-term Contract แถมยังมีลุ้นเรื่องการเติบโตจากกลุ่ม Autonomous Vehicle และ Renewable Energy ครับ
ธุรกิจของ ON ทำอะไร?
ON Semiconductor เป็นธุรกิจประเภท IDM หรือ Integrated Device Manufacturer ทำธุรกิจออกแบบ ประกอบ และผลิต Integrated Circuit (IC) ดังนั้น ON จึงมีทั้งโรงงานประกอบ ผลิต และศูนย์ออกแบบที่ไว้บริการลูกค้าทั่วโลก มีพนักงานทั้งหมด 33,000 คน
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของ ON มีตั้งแต่แบบที่เป็น Discretes ที่เป็นแผงวงจรขนาดเล็ก จนไปถึงระดับที่เป็น Modules หรือแผงวงจรที่มีการประกอบเข้ากับวงจรอื่นๆเพื่อทำงานร่วมกัน หรือทำขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่บางอย่างแบบ Specific เช่น Inverter Traction Modules ที่เอาไปใช้ในรถไฟฟ้า รวมไปถึงพวกแผงวงจรและเลนส์กล้อง CMOS ที่ใช้ในระบบ Sensing ต่างๆของรถยนต์ไร้คนขับ
เห็นแบบนี้แล้วอาจจะรู้สึกไม่สนใจเพราะดูเหมือนสินค้าของ ON จะเป็นสินค้าที่ธรรมดาทั่วๆไป ใครๆก็ผลิตได้ แถมยังแข่งกันที่ราคาอีกตังหาก ON จะราคาขึ้นๆลงๆลุ่มๆดอนๆเหมือนธุรกิจ Semiconductor ทั่วไปที่มีลักษณะเป็น Cycle ขาขึ้นทีก็เพิ่มกำลังการผลิตจนถึงขาลง ก็โดนยับ แล้วก็วนไปวนมาเรื่อยๆใช่ไหม?
คำตอบคือ "ใช่ในอดีต" เป็นแบบนั้น เพราะชิ้นส่วนที่ ON ผลิตเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ในสถานการณ์ที่ไม่ได้สำคัญอะไรมาก เช่น IC ชิปที่เอาไปใช้ในระบบ Infotainment ของรถยนต์ หรือตัวควบคุมไฟแบตเตอรี่ที่เอาไว้ควบคุมระบบไฟส่องสว่างในรถ นั่นก็เป็นเพราะในอดีต อุปกรณ์ไฟฟ้าแทบไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย เป็นเหมือนส่วนเสริม เป็น Gimmick ในการขายรถมากกว่าว่าหน้าจอ Media player ของรถใครสวยกว่ากัน แต่มันไม่มีใครซื้อรถที่จุดนี้ไง ราคามันถึงได้เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา คุณภาพก็ไม่ต้องเน้นมากเพราะหน้าจอ Media Player ดับเต็มที่ก็ขับเข้าศูนย์ให้ช่างซ่อม ลองสังเกตดูเราเลยไม่ได้เคยเห็นรถรุ่นไหนที่มี Media Player ดีๆเลย ส่วนใหญ่จะแค่พอใช้ได้ เพราะคนซื้อเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ (ยกเว้น Apple Carplay ที่กำลังจะออกมานะครับ 555 โหดชัวๆ)
ทีนี้ผมอยากชวนทุกคนมาลองนึกดูใหม่ ... ตอนนี้เป็นปี 2025 คุณกำลังขับรถ EV ยี่ห้อ xxx ไปเที่ยวดอยอินทนนท์ (ให้เข้ากับบรรยากาศตลาดหุ้นตอนนี้ครับ 555) ... อยู่ดีๆรถยนต์ก็ดับ ระบบไฟฟ้าขัดข้อง Powertrain หยุดทำงาน จากการที่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เล็กๆตัวหนึ่งที่ควบคุมไฟให้กับ Powertrain ขัดข้อง สุดท้ายทำไรไม่ได้เรียกรถลาก Roadtrip ครั้งนั้นของคุณพังพินาศ แน่นอนว่าคุณโพสด่ารถยี่ห้อนั้นลง Pantip และมีชาวเน็ตที่ประสบเหตุแบบเดียวกันมารุมกันด่าด้วย สุดท้ายรถยี่ห้อโดน Recall เจ๊งยับ หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าซื้อ ขายไม่ได้อีกเลย ต้องออกจากตลาดไป
เห็นไหมครับว่า IC ชิปเล็กๆตัวเดียวแต่ทำหน้าที่ต่างกัน ตัวนึงควบคุม Media Player ซึ่งไม่ได้สำคัญอะไรมาก กับอีกตัวที่ควบคุม Powertrain ซึ่งถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา เจ้าของรถต้องทิ้งรถและเดินกลับบ้านทันที (ถ้าอยู่อินทนนท์แบบข้างบนคงต้องติดมอไซค์ชาวบ้าน ต่อรถแดง และนั่งเครื่องบินกลับกทม.) ผลกระทบมันต่างกันมหาศาลมากๆ
และ ON ก็ตระหนักถึงความแตกต่างตรงนี้ดีก็เลยเกิดเป็น Direction ของธุรกิจใหม่ที่เน้นทำแต่ของยากๆ ซับซ้อน และมีความสำคัญในสินค้าของลูกค้า
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ ON ตามสินค้าที่ขายแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ
รายได้ Power Solution Group 51% อันนี้ดีลกับพวกระบบไฟฟ้าต่างๆของรถไฟฟ้า โรงไฟฟ้าโซลาร์ รวมไปถึงแท่นชาร์จรถไฟฟ้า ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการ ชาร์จ - ส่งผ่านกระแสไฟฟ้า - ปรับแรงดัน - การเดรนไฟออก ยิ่งกระแสไฟมีแรงดันสูง
รายได้ Intelligent Sensing Group 14% เซ็นเซอร์ที่ใช้ในการถ่ายภาพ วีดีโอ หรือจับภาพทั้งในรถยนต์ไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆที่มีการใช้ระบบ Automation มากขึ้น นึกภาพเมื่อก่อนรถยนต์ 1 คันมีกล้อง 1 ตัว เซนเซอร์อีก 3 ตัว ไว้ใช้ตอนถอยรถ ตอนนี้ NIO ET7 มีกล้อง 11 ตัว และเซนเซอร์อีก 33 ตัว ใช้ทำทุกอย่าง
รายได้ Advanced Solution Group 35% แผงวงจรอื่นๆที่ใช้ในงาน 5G Cloud ที่เน้นหน่อย และพวกแผงวงจร Consumer Smartphone และ Electronics ต่างๆ
ถ้าแบ่งตามอุตสาหกรรมจะเป็น
Automotive 37%
Industrial 28%
Others 35%
นี่ทำให้ ON Semiconductor คือบริษัทที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆจากเทรนด์ รถไฟฟ้า รถ Autonomous และ Industrial Automation ที่แท้ทรู (แถม 5G กับ Cloud ให้อีกนิดหน่อย)
ลูกค้าส่วนใหญ่ของ ON ก็อยู่ในภูมิภาค Asia เป็นหลัก โดยมีสัดส่วนตามนี้ครับ
Asia (ex. Japan) - 59%
Europe - 18%
American - 16%
Japan - 7%
ในส่วนนี้ผมเห็นว่าส่วนที่สำคัญที่สุดคือจีนครับ ถ้าใครตามอุตสาหกรรม EV จะเห็นว่าบริษัทจีนแข่งกันปั๊ม EV มากๆ Xiaomi ก็หันมาทำ EV Huawei ก็หันมาทำ EV ตลาดรถ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็คือจีน ตลาด Renewable Energy ผมก็เชื่อว่าจีน Industrial Automation ก็ยังหนีจีนไม่พ้นอยู่ดี ดังนั้นการมีสัดส่วนในตลาด Asia สูงถือว่าเป็นจุดที่ ON ได้เปรียบนะผมว่า
อย่างไรก็ตามพอผมเขียนมาถึงตรงนี้ก็ลองไปดูสัดส่วนรายได้ของคู่แข่งของ ON คือ STMicro, NXP, Infineon สรุปได้ว่าสัดส่วนรายได้มันคล้ายกันมากๆเลยว่ะครับ ผมจึงรู้สึกว่าตรงสัดส่วนรายได้เนี่ยไม่ใช่จุดที่ทำให้ ON แตกต่างจากคู่แข่งซักเท่าไหร่นัก
.... งั้นมาดูกัน CEO เขาบอกว่าอะไรที่ทำให้เขาแตกต่างกับคู่แข่ง?
Competitive Advantage ของ ON
Disclaimer ก่อนนะครับ Competitive Advantage ของกลุ่ม Semiconductor เนี่ย สำหรับนักลงทุนทั่วๆไปรวมถึงตัวผมด้วย เป็นสิ่งที่เข้าใจยากมากๆครับ ถ้าไม่ได้มี In-depth Knowledge ดังนั้นอ่านบทความนี้แล้วผมอยากให้ทุกคนศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และตั้งคำถามเยอะๆนะครับเพื่อความปลอดภัยของเงินลงทุน และไอเดียการลงทุนที่ผิดน้อยที่สุด (คือส่วนตัวผมไม่คิดว่าผมจะเขียนทุกอย่างได้ถูก 100% ครับ แต่พยายามทำให้ผิดน้อยที่สุด)
1. Performance และ Scalability ที่เหนือคนอื่น - จากในงาน Analyst Day ปี 2021 มีอยู่ช่วงนึงที่ CEO ON หยิบ แผงวงจรออกมา 2 อันขนาดเท่าๆกันตามรูปด้านบน ถ้ามองด้วยตาเปล่าเราจะคิดว่ามันเหมือนๆกัน แต่ในความเป็นจริง แผงวงจรอันซ้ายมีกำลังไฟ 300 kW ใช้ในรถ SUV ส่วยอันขวามีกำลังไฟ 150 kW ใช้ในรถ Sedan ขนาดแตกต่างกันเพียง 3 mm. แต่กำลังไฟต่างกันได้ถึง 1 เท่าตัว
ประเด็นของจุดนี้คือในการออกแบบระบบไฟฟ้าของรถ EV คุณต้องรีด Efficiency ออกมาจากทุกส่วนของรถเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ระยะทางในการวิ่งไปได้ไกลขึ้น ในกรณีที่แบตเตอรี่ไม่ต่างกัน ดังนั้นการออกแบบแผงวงจร และ IC ชิปต่างๆจึงต้องออกแบบขึ้นมาใหม่และไม่สามารถใช้แบบ Off the shelf ได้ นอกจากนั้นยังทำให้การออกแบบรถหลายๆรุ่นง่ายขึ้นเพราะชิ้นส่วนมันแทบจะเป็นตัวเดียวกันเลย (Commonality)
พอทุกอย่างมันต้องออกแบบใหม่มันก็ต่อเนื่องไปที่การออกแบบก่อนที่จะได้รับคัดเลือกให้เป็น Supplier ซึ่งนำมาที่ Competitive Advantage ข้อที่ 2 ของ ON ครับ
2. สินค้าที่ไม่ได้มีความหลากหลายในเชิงประเภท แต่มีความ Focus เป็นจุดๆไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Deep Engagement กับลูกค้า ลูกค้า 20 รายแรกของ ON ซื้อสินค้ามากถึง 24 ชิ้น ดังนั้นสินค้าของ ON คือ Solution ที่ประกอบไปด้วยสินค้าหลากหลายประเภทที่ต้องทำงานด้วยกัน นึกภาพอารมณ์เหมือน BYD ขาย Blade Battery แล้วก็ขาย BMS ขาย Chasis ขาย Powertrain ขายระบบ Cooling/Heating แบบเป็นชุด Happy Meal ไปเลย มีครบ ไก่ โค๊ก เฟรนฟราย พายสัปปะรด
3. โครงสร้างธุรกิจแบบ Fab-Liter Focus ไปในการทำชิ้นส่วนที่สำคัญและพัฒนาเฉพาะการผลิตในส่วนที่ยากๆหรือมี Differentiated Technology เท่านั้น ชิ้นส่วนไหนง่าย ON จะไม่ผลิตเอง แต่จะจ้าง Outsource ข้างนอกผลิตให้แทน ทำให้ ON ไม่จำเป็นต้องเอา Resource คนไปรับงาน Low value ที่ราคาเหวี่ยง ให้ Outsource ข้างนอกลงทุนและรับความเสี่ยงไปแทน จุดนี้ทำให้ได้เปรียบ และมีอัตราการทำกำไรที่มีเสถียรภาพกว่าในระยะยาว โดยจะเป็น External volume สูงขึ้นถึง 45%
การเป็น Fab-Liter ยังทำให้เกิด Economie of Scale จากการปิดโรงงานเล็กๆที่ไม่ทำเงิน แล้วเอาทุกอย่างไปรวมศูนย์ไว้ที่โรงงานใหญ่ที่เดียว ตอนนี้ ON ขาย Fabs เล็กๆไม่ได้ Scale 150-200mm. ทิ้งไปแล้วซื้อ East Fishkill ซึ่งเป็น Fabs 300mm. มาแทน
4. Product ที่ทำงานเฉพาะแก้ปัญหาในอุตสาหกรรมนั้นๆ เช่นการทำเซนเซอร์สำหรับรถยนต์และระบบไร้คนขับที่แตกต่างกับเซนเซอร์กล้องที่เอาไว้ใช้ถ่ายพริตตี้ในมอเตอร์โชว์ ถ่ายพริตตี้ออกมาไม่สวยไม่เป็นไร แต่ถ้าถ่ายถนนข้างหน้าไม่ชัดแล้วระบบไร้คนขับ ขับไปผิดหรือชนรถคันข้างๆนี่งานเข้านะครับ
การเติบโตของหุ้น ON
1. การ Takeover โรงงานที่มี Differentiated Technology เข้ามา ล่าสุดคือ GT Advanced Technologies (GTAT) และโรงงาน East Fishkill
GTAT - ผู้ผลิตแร่ Silicon Carbide (SiC) ซึ่งเป็นแร่ที่ใช้ในการผลิตชิ้นส่วน Technology ใหม่สำหรับการใช้งานไฟฟ้าแรงดันสูง ซึ่งใช้ในรถไฟฟ้า แท่นชาร์จ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนต่างๆ
เนื่องจากในอนาคตการใช้งาน SiC จะมีมากขึ้นจาก Adoption rate ของรถไฟฟ้าที่สูงขึ้น การมี GTAT จะทำให้ ON สามารถ Secure Supply ของ SiC ในระยะยาวได้ พอลูกค้ารู้ว่ามี Supply ก็มั่นใจ การปิดการขายกับลูกค้าก็ง่ายขึ้น ON มีการตั้งเป้ารายได้ SiC ในปี 2023 ที่ 1 Billion โตขึ้นจากปี 2022 1 เท่า (แปลว่าปี 2022 น่าจะมีรายได้จาก SiC แถวๆ 500 ล้าน?) หลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนราวๆ 2.6 Billion ในปี 2024 แต่ในระยะสั้นรวมๆถือว่ายังไม่ได้มีสัดส่วนเยอะมากเมื่อเทียบกับรายได้รวมปัจจุบันของบริษัท ที่แถวๆ 8-9 Billion ต่อปี
East Fishkill - Wafer Fabs ที่ซื้อมาจาก Global Foundries โรงงานนี้ผลิต Chips และ Wafer ขนาด 300 mm หรือ 12 นิ้ว (ซึ่งถือเป็นขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม) ON จะได้ประโยชน์จาก Yield และ Efficiency ที่ดีขึ้น โรงงานนี้จะรวมเข้ามาในงบปี 2023 โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จากที่นี่ประมาณ 2 Billion
2. การเปลี่ยนผ่านจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในระบบ Infotainment รถยนต์ไปเป็นชิ้นส่วนที่ขับเคลื่อนพลังไฟฟ้าของแบตเตอรี่และมอเตอร์ ชิ้นช่วนที่ใช้ในเซนเซอร์ในระบบรถยนต์ไร้คนขับซึ่งมีความสำคัญมากกว่าเดิมเยอะ ทำให้อัตรากำไรของ ON ดีขึ้นจากการทำชิ้นส่วนที่สำคัญ และอยู่ในช่วงตลาดที่กำลังเติบโตอย่างมาก
ON ได้ประโยชน์ทั้งจากการที่รถ ICE เปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าอันนี้ต่อที่ 1 และต่อพอไปทำพวกระบบไร้คนขับเยอะๆถือว่าได้ต่อที่ 2 ครับ เพราะต้องใช้ชิป เซ็นเซอร์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มหาศาลมากๆ รวมๆแล้วจะใช้ชิ้นส่วนจาก ON มากขึ้นถึง 30 เท่า รถ ICE ธรรมดาใช้ชิปประมาณ 1,000 ชิ้น รถที่ Advance มากๆเช่น Xpeng รุ่นใหม่ๆนี่ใช้ 5,000 ชิ้นเลยนะครับ ดังนั้นจึงสำคัญมากๆ
3. เทรนด์ของการเติบโตมาแล้วในเชิงตัวเลขทางบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าจะมีรายได้เติบโตเฉลี่ยที่ 6-9% ต่อปีไปจนถึงปี 2025 โดยในเชิงของกำไรจะมีการเติบโตเฉลี่ยที่ปีละ 12-18% (2x revenue growth) Free Cash Flow จะเติบโตขึ้น 2 เท่าในช่วงเวลา 2021-2025 น่าจะพอๆกับกำไรแหละ (FYI นิดนึงว่า Earning Call ล่าสุดบริษัทบอกว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ Support 11% growth ดังนั้นถึงเวลาอาจจะโตกว่า 9% ก็ได้นะครับ)
ซึ่งการเติบโตทั้งหมดนี้ผมให้ความสำคัญที่สุดคืออัตรากำไรครับ ผมว่า Top Line ไม่น่ามีปัญหาอยู่แล้ว แต่อุตสาหกรรม Semiconductor มีความเป็น Cycle ระดับนึง ดังนั้นผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ASP กับกำไรจะเป็นยังไง ทางบริษัทบอกว่ามีการเลิกทำสินค้าที่มี Margin ต่ำ และผันผวน ไปทำสินค้าที่มี Margin สูง มีเทคโนโลยีเฉพาะ และมีความ Sustainable คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่า "มันมีจริงๆเหรอวะ" คือในอุตสาหกรรมรถยนต์น่าจะใช่ เพราะรถคันนึงผลิตไปหลายปี แต่อุตสาหกรรมอื่นๆไม่แน่ใจ
รวมไปถึงการที่บริษัทเลิกทำสินค้าประเภทอื่นที่กำไรไม่ดี รายได้ลดลงต้องหารายได้ส่วนใหม่มาเติมซึ่งก็มีโอกาสเติมไม่ทันได้เช่นกันครับอย่างไรก็ตามบริษัทพูดใน Earning Call ว่า 2H2022 จะ Outperform 1H2022 ก็ต้องมาลุ้นกันครับว่าจะเป็นแบบนั้นจริงไหม
ข้อมูลงบการเงินของ ON
ถ้ามองย้อนหลังไปซัก 4-5 ไตรมาส ON ถือว่าเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีงบสวยงามตามอุดมคติมากๆครับ รายได้โตต่อเนื่อง มาร์จิ้นสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายนิ่งๆ ราคาหุ้นไม่แพง เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเมกะเทรนด์ แถมจะมี Share Repurchases ด้วย
ดูที่รายได้จะเห็นว่าแม้ ON จะมีการออกจากตลาดที่แข่งขันสูงทำให้มี Headwind ในการทำให้รายได้เติบโตพอสมควร แต่ก็ยังสามารถหารายได้ส่วนอื่นๆเข้ามาทดแทนได้และดีกว่าเดิมเพราะอัตราการทำกำไรที่สูงกว่า
ดูที่อัตรากำไรขั้นต้นจะเห็นว่าบริษัทสามารถดำเนินงานตามแผนได้อย่างยอดเยี่ยม จากอัตรากำไรปกติที่แถวๆ 37% ปัจจุบันอยู่ที่ 49% แล้ว ส่วนตัวผมคิดว่ามาจากปัญหาเรื่อง Chip Shortage ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องถือว่ากลยุทธ์ที่บริษัทใช้เช่น Divest โรงงานที่ไม่มี Economie of Scale ออกไป เน้นเฉพาะสินค้ายากๆและ High value มีการ Outsource ออกไปให้คนอื่นช่วยทำ บริษัทก็ไม่ต้องลงทุนเอง Gross Profit margin ของบริษัทสูงขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมที่ขนาดใหญ่กว่า ON ยิ่งเห็นได้ชัดว่าอัตรากำไรของ ON วิ่งมาจากเกือบที่โหล่มาเกือบๆท๊อป ในขณะที่ขนาดบริษัทเล็กกว่า แปลว่า ON ต้องทำอะไรที่มาถูกทางแล้วล่ะครับ ถ้ามีเวลาผมจะไปหาข้อมูลมาเพิ่มให้นะครับว่าทำไมและมันเกิดอะไรกันขึ้นกับบริษัทอื่นๆ?
ในขณะที่ในมุมค่าใช้จ่าย ON ควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ ทำให้รายได้ที่ทำเข้ามา ผ่านค่าใช้จ่ายลงมาเป็นกำไรมากขึ้น
ในมุมของการเติบโตของรายได้และกำไร ON ถือว่าเป็นตัวที่เติบโตได้สูงสุดและกำไรโตเยอะมาก อาจจะด้วยฐานที่ต่ำของปี 2021 มีการปรับโครงสร้างธุรกิจภายในแบบที่เขียนไป และขนาดของบริษัทที่เล็กกว่าคู่แข่งที่เปรียบเทียบครับ
เทียบด้วย P/E Ratio ถือว่าอยู่กลางๆกรุบกริบๆในขณะที่การเติบโตของรายได้และกำไรสูงที่สุด ผมว่าหุ้น ON มันน่าสนใจที่สุดก็ด้วยตรงนี้แหละ
เอาไปเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาด Semiconductor โดยใช้ SOXX ETF เป็น Benchmark จะเห็นว่า P/E อยู่ที่ 18.52 เท่า เทียบกับ P/E ปัจจุบันของ ON ที่ 15.94 เท่าถือว่าถูกกว่าค่าเฉลี่ยตลาด
ความเสี่ยง
สำหรับ ON ผมไม่กลัว Shortage หรือ Inflation มากเท่าไหร่แต่กลัวมากที่สุดคือ Recession เพราะมันกระทบกับกำลังซื้อรถและการลงทุนต่างๆเต็มๆ แม้ EV น่าจะ Outperform ICE ได้ บริษัทจะมี Long-term service agreement ล๊อคไว้ แต่ผมว่ายังไงในเชิง Sentiment ก็โดนอยู่ดี ... ส่วนตัวเชื่อว่าปัญหา Inflation มีโอกาส Peak ไปแล้วนะครับ แต่ที่เรากำลังจะเจอกันคือ Recession
ในอดีตพอเป็น Recession เนี่ยช่วงแรกๆที่ Fed กลับตัวมาลดดอกเบี้ยหุ้นน่าจะโดนกระทบเยอะ แต่หลังจากนั้นมีโอกาสกลับมาเป็นขาขึ้นใหม่เพราะการอัดสภาพคล่องเข้าตลาดของ Fed ซึ่งรอบนี้ก็น่าจะจบคล้ายๆแบบนั้น แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าตอนไหน และหุ้นจะลงไปหนักแค่ไหน
Supply Semiconductor จะสูงขึ้นในปี 2022-2023 แต่ยังไง Demand ก็ยังมากกว่า Supply อยู่ดี อย่างไรก็ตามต้องบอกว่าเหตุการณ์ Shortage แบบที่ผ่านมามัน 100 ปีมีครั้ง ต่อให้ยังโตได้แต่ Sentiment มันแย่ลง หุ้นก็อาจตกได้
เทคโนโลยีของ ON ที่นำบริษัทอื่นๆผมเข้าใจว่าแค่ 2-3 ปี ดังนั้นอาจจะโดนบริษัทใหญ่ๆตามทันได้ใน ระยะกลาง-ยาว แต่ผมเชื่อว่าระยะสั้นน่าจะเอาตัวรอดได้ไม่ยาก
หุ้น Semiconductor ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นหุ้น Cyclical และการเป็นหุ้น Cyclical เนี่ยเขาบอกให้ซื้อตอน P/E แพง (รายได้กำไรยังไม่มา) ไปขายตอน P/E ถูก (รายได้กำไรมาหมดแล้ว) ดังนั้นจุดนี้มีโอกาสเป็น Peak ของตลาดได้เช่นกัน หุ้นอาจจะตกได้แม้ผลประกอบการดี
ตอนนี้ทั้งอุตสาหกรรม Semiconductor ลงมาแทบจะทั้งตลาด การที่ ON ยังรอดอยู่ไม่ได้หมายความว่าจะรอดต่อไป เพราะความกลัวของคนมันไม่เคยปราณีหุ้นตัวไหนในตลาดขาลงครับ
สุดท้ายคือปีที่ผมคิดว่าจะเป็นปีที่เติบโตของ ON น่าจะเป็น 2023-2024 ดังนั้นในปีนี้อาจจะไม่ได้มีอะไรหวือหวามาก ในช่วงปลายปีอัตราการเติบโตของ ON จะดูลดลงจากฐานที่สูงในปีที่ผ่านมาครับ จุดนี้ทำให้ระยะสั้น ON อาจไม่น่าสนใจถ้ามีปัจจัยอื่นๆมากดดันเพิ่มเติม
สุดท้ายหวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์และความรู้จากบทความนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ ใครจะซื้อ ใครจะขาย พิจารณาแล้ว ตัดสินใจตามแต่ปัจจัยของแต่ละท่านได้เลยครับ ถ้าชอบบทความประมาณนี้อยากให้ Subscirbe กันไว้นะครับ ผมเขียนลงเรื่อยๆครับ หรือมีหุ้นตัวไหนที่สนใจอยู่ก็ Recommend มาได้ครับ ^_^ ช่วยกันขุด ตลาดขาขึ้นครั้งหน้าเราต้องไม่พลาดครับ !!!
ขอบคุณหลาย หลาย ครับ
ขอบคุณค่ะ