ทำความเข้าใจหุ้น Nvidia เติบโตกับเทรนด์ AI [Deep Dive]
หุ้น NVDA มีจุดแข็งอย่างไร? อีก 10 ปียังโตไหม? ทำไมการเข้าซื้อ ARM จะทำให้ Nvidia ครองตลาด Computing?
หลายๆคนรู้จักหุ้น NVDA หรือ Nvidia ในฐานะบริษัทผู้ผลิตการ์ดจอชื่อดังสำหรับเกมเมอร์ตัวจริง
แต่ในปัจจุบัน Nvidia เปลี่ยนเยอะมากๆ แม้จะยังเป็นผู้นำด้านการ์ดจอ แต่ก็มีธุรกิจอื่นๆที่เติบโตขึ้นเป็น S-Curve ตัวใหม่เช่นธุรกิจ Cloud เป็นต้น ตอนนี้ Segment ใหม่ล่าสุดที่ Nvidia กำลังจะเข้าไปคือรถยนต์ ตามการพัฒนาของระบบรถยนต์ไร้คนขับ
ทำไมหุ้นNVDAน่าสนใจ
ธุรกิจของ Nvidia ไม่ได้เป็นธุรกิจผลิต Chip ธรรมดาอีกต่อไป แต่ Nvidia คือ บริษัท Computing Platform ของงาน Computing ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ Learning ถึง Inferencing จาก Architecture ออกแบบ Chip ไปจนถึงผลิต แผงวงจร Computing ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆซึ่งเป็นรากฐานของ AI
Nvidia คือผู้นำของธุรกิจ GPU ในตลาดเกมส์ด้วย Market share มากกว่า 75%
เทคโนโลยี GPU ของ Nvidia ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่โตระเบิดไปแล้วอย่าง Cloud Computing และอุตสาหกรรมที่กำลังจะโตระเบิดอย่าง Autonomous Vehicle และ AI
ทุกอุตสาหกรรมที่ Nvidia รุกเข้าไป บริษัทกลายเป็นผู้นำตลาดอย่างรวดเร็ว เช่น Cloud Computing
Ecosystem ที่แข็งแกร่ง จากการมี Community ของ Developer มากกว่า 15 ล้านคนหลังดีลซื้อ ARM
ข้อได้เปรียบของบริษัทที่แข็งแกร่งและมากขึ้นเรื่อยๆ
Nvidia อาจกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก Top 5 ภายใน 5-10 ปีหลังจากนี้
ธุรกิจของNvidia
เมื่อก่อน Nvidia เป็นบริษัทผลิต GPU สำหรับ Gamer ภายใต้ชื่อแบรนด์ GeForce แต่มาวันนึง บริษัทรู้ว่าเทคโนโลยีและการทำงานของ GPU สามารถเอามาใช้ในการทำ Machine Learning และ Deep Learning ซึ่งเป็นรากฐานของการทำ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหนือ CPU มหาศาล บริษัทจึงเริ่มเบนเขมเข้าสู่ตลาด Computing ประเภทอื่นๆซึ่งมีเจ้าตลาดคือ Intel และ AMD
ประจวบการมาของ Big Data และการใช้ข้อมูลมหาศาลบนโลกออนไลน์ ทำให้ข้อมูลเหล่านั้นถูกนำมาประมวลผลเพื่อสร้าง AI ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่บริษัทเทคฯยักษ์ใหญ่ทุกรายเห็นพ้องต้องกันว่า “แพ้ไม่ได้” ในเกมส์นี้ ส่งผลให้แต่ละรายมีการลงทุนใน AI มหาศาล และพยายามมองหา Solution ที่ทำได้เร็วกว่า ถูกกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า หวยมาลงที่ GPU ของ Nvidia
ใช้ GPU ดีกว่า CPU ยังไง? GPU ถูกสร้างขึ้นมาทำงานแบบ Parallel Computing หรือการประมวลผลงานง่ายหลายๆอย่างพร้อมๆกัน (นึกภาพตอนสร้างภาพ 3 มิติออกมาให้เกมส์ มันต้องประมวลผลแต่ละจุดในภาพไปพร้อมๆกัน) ในขณะที่ CPU ถูกสร้างขึ้นมาในการทำงานแบบ Sequential ทำงานซับซ้อนแต่ละอย่างให้เสร็จทีละอย่าง เรียงเป็นลำดับ โดยสามารถทำงานหลายงานได้ด้วยการเพิ่ม Core
จุดนี้ทำให้ GPU ได้เปรียบเพราะจริงๆการทำ Machine Learning กับ Deep Learning มันไม่ได้ยากอะไรมาก ทำงานเป็นระบบ แต่มันถึกมากๆเพราะข้อมูลมันเยอะ แล้ว Outcome มันมหาศาล
ใครนึกภาพไม่ออกนึกตอน Dr.Strange ประมวลผลโอกาสชนะ 1 ใน 14 ล้าน Scenario ที่ Avenger จะชนะ Thanos นั่นแหละใช่เลย ในหัวน่าจะมี GPU ของ Nvidia อยู่ 555
แล้ว GPU ของ AMD (ATI Radeon) ไม่ถูกใช้มั่งเหรอ? สาเหตุหลักเป็นเพราะการ Support Developer ของ Nvidia ทำดีกว่า ภาษา CUDA ซึ่งใช้ในการเขียนคำสั่งของชุด GPU มี Developer ใช้งานมากกว่า และในปี 2018 Nvidia มีการออก GPU เฉพาะทางสำหรับ AI มาโดยเฉพาะยิ่งทำให้ Nvidia ทิ้งห่าง AMD ในตลาด Machine Learning และ Deep Learning
นี่คือสาเหตุหลักๆว่าทำไม GPU ของ Nvidia มันถึงได้เมพขนาดนี้ แล้วมันดันพอดีกับการทำ AI ใช้ Machine Learning และ Deep Learning มันจำเป็นต้องใช้กับทุกอุตสาหกรรม
รายได้ของ Nvidia
รายได้และกำไร 3 ปีย้อนหลังของ Nvidia ประมาณนี้
2019 รายได้ 11,716 ล้านเหรียญ กำไร 4,141 ล้านเหรียญ
2020 รายได้ 10,918 ล้านเหรียญ กำไร 2,796 ล้านเหรียญ
2021 รายได้ 16,675 ล้านเหรียญ กำไร 4,332 ล้านเหรียญ
ไตรมาส 1 FY2022 รายได้ 5,661 ล้านเหรียญ กำไร 1,912 ล้านเหรียญ
ใน FY2021 Nvidia มีรายได้จากหลักๆ 2 ตลาดด้วยกันคือ
Gaming 47%
Data Center 40%
Pro Visualization 6%
Auto 3% และ OEM 4%
อื่นๆ 3%
Gaming เป็นตลาดหลักของ Nvidia มีรายได้สูงถึง 47% มาจากหลักๆก็การ์ดจอที่ขายให้ Gamer และบางส่วนเอาไปขุด Bitcoin รายได้ปี 2021 โตดีเพราะคนอยู่บ้านเล่นเกมส์กันมากขึ้น ก็มีการอัพเกรดคอมกันไป ไหนจะขาขึ้นของ Bitcoin ทั้งปี ทำให้รายได้ Gaming ที่ปกติโต 30-50% กลายเป็นโต 100%+
Data Center อันนี้เป็นการขาย Chip และ Computing Platform ของ Nvidia ให้บริษัทไปทำ Cloud Computing จากปกติโต 40% กลายเป็นโต 70%+ จากการที่บริษัท Takeover บริษัทผู้นำด้าน Chip ประมวลผลและ Network อย่าง Mellanox และ บริษัท Hyperscalers (ชื่อเล่นของบริษัทยักษ์ Apple, Amazon, Facebook) เพิ่มการลงทุนใน Cloud และ Data Center ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการใช้งาน Internet ที่มากขึ้นส่งผลให้ข้อมูลเยอะขึ้น ต้องการการประมวลผลที่มากขึ้น เร็วขึ้น
อีกส่วนมาจากในปี 2019 ถ้าจำกันได้จะมีช่วงนึงที่พวกบริษัทเทคฯ โดนฟ้องเรื่องข้อมูลจากหลายๆประเทศทั่วโลก ก็เลยมีการชะลอการลงทุนไป พอกลับมาปี 2020 เหตุการณ์กลับกัน เลยเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ
โดยปกติแล้ว Server Cloud เนี่ยจะใช้ CPU ของ Intel ที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะคือ Intel Xeon อย่างไรก็ตามด้วย Architecture ที่แตกต่างกันมหาศาล ทำให้ CPU ของ Intel ไม่เพียงแต่มีการประมวลผล AI ที่ช้ากว่า แต่ยังกินไฟมากกว่าด้วย
Jensen Huang CEO ของ Nvidia เคยพูดว่า สำหรับธุรกิจ Cloud Computing ยิ่งเปลี่ยนมาใช้ Chip ของ Nvidia ยิ่งถูกลง “ยิ่งซื้อยิ่งกำไร” เพราะ Performance ที่ได้มัน ไม่ใช่ดีขึ้น 2-3x แต่ดีขึ้น 50-100x แป๊ปเดียวลูกค้าก็คืนทุนเรียบร้อย
จากที่เห็นรายได้ Data Center เป็นสัดส่วนเยอะๆในตอนนี้ ในปี 2016 รายได้จาก Data Center ของ Nvidia มีแค่ 7% เท่านั้นเอง 4 ปีผ่านไปถือว่าเป็นการเติบโตที่สูงและกลยุทธ์ขยายตลาดที่ประสบความสำเร็จมากๆ
ยุคแรกของ Nvidia คือการ์ดจอที่เอาไว้ทำกราฟฟิค 3D สำหรับนักออกแบบ ยุคที่สองคือยุคการ์ดจอ GeForce ยุคที่สามคือยุคของ Data Center ส่วนยุคที่สี่ที่ Nvidia กำลังจะก้าวไปคือยุคของรถยนต์ไร้คนขับ รายได้จากกลุ่ม Auto ที่เตรียมเติบโตแบบก้าวกระโดด
ปัจจุบันรายได้ Auto ของ Nvidia อยู่ที่ราวๆ 3% แต่ Chip ส่วนใหญ่ที่ Nvidia ขายในตอนนี้เป็นเพียงแค่ Chip ควบคุมระบบ Infotainment ในรถยนต์ไม่ได้มีอะไรพิเศษ และส่วนใหญ่บริษัทรถยนต์ที่ Partner กับ Nvidia อยู่ก็ยังไม่มีแบรนด์ไหนออก Feature Autonomous จริงๆจังๆเลยทำให้ Order ยังไม่เยอะ
ตัว SoC (System On Chip) ที่เป็น Killer จริงๆยังไม่ออกสู่ตลาด ตอนนี้ System ที่โหดที่สุดของ Nvidia ชื่อ Orin สามารถประมวลผลได้ถึง 1000 trillion operation per second จะออกในปี 2025
SoC รถยนต์ของ Nvidia มีประมาณนี้ครับ
Xavier 30 tops เริ่มส่งให้ลูกค้าแล้ว
Orin 354 tops เริ่มส่งปี 2022
Atlan 1000 tops เริ่มส่งปี 2025
ดังนั้นเมื่อไหร่ที่แบรนด์รถยนต์เอา feature Autonomous drive Level 2 ขึ้นไปออกสู่ตลาด รายได้จากการขาย SoC ของ Nvidia น่าจะเติบโตแบบโหดมากๆ (Autonomous มี 5 Level ครับ เลเวล 0 คือขับเอง เลเวล 2 คือช่วยขับบางส่วนเช่นพวก Cruise control ส่วน Level 5 คือ Fully Autonomous ขึ้นรถมาแล้วนอนได้เลย)
นอกจากเรื่อง Chip ของ Autonomous Vehicle แล้ว Nvidia ยังออก AV Simulator ชื่อ Omniverse ซึ่งเป็นระบบ Simulation ของรถยนต์ไร้คนขับ จะเห็นว่าเวลาเข้าสู่ตลาดใหม่ๆแต่ละครั้ง Nvidia ไม่เคยไปแค่เฉพาะธุรกิจ Chip แต่จะมีธุรกิจอื่นๆตามไปด้วย
ส่วนรายได้ OEM และอื่นๆก็มาจากการทำ Chip ให้กับระบบอื่นๆเช่น Nintendo Switch ก็ใช้ Chip ของ Nvidia อยู่ครับ
Moat ของ Nvidia
Moat ของ Nvidia ผมคิดว่ามี 2 มุมหลักๆด้วยกัน หนึ่งคือการออกแบบ Chip และระบบไม่ใช่เรื่องที่ใครๆจะทำก็ทำได้
เราจึงเห็น Gross Profit Margin ของ Nvidia ดีขึ้นจากในปี 1999 ผลิต Chip ธรรมดา มี GPM ที่ 30% ในปี 2014 มี GPM เพี่มมาเป็น 50% จากการ์ดจอยอดนิยม GeForce
หลังจากนั้นบริษัทเปลี่ยนมาเป็น บริษัท Computing Platform ที่มี Ecosystem ของตนเอง GPM ขึ้นมาเป็น 60%
การผลิต Chip เฉยๆ ถ้าไม่มีข้อได้เปรียบด้านใดเลยไม่มีทางได้ GPM ในอัตรา 60% ครับ สิ่งที่ Nvidia ทำถือว่าไม่เป็นแค่การผลิต Chip แต่มี Ecosystem ที่หนุนหลังธุรกิจนี้อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ก๊อปปี้และทำตามได้ยาก ถึงได้เรียกกำไรได้
มุมที่สองคือเรื่อง Developer Community จากการที่ Nvidia ทำธุรกิจ GPU มานาน นอกจากจะมี Know-how แล้วยังมีกลุ่ม Developer ที่เขียนโปรแกรมด้วยภาษา CUDA ซึ่งใช้ใน GPU โดยเฉพาะ การที่จะมีรายอื่นเข้ามาต่อให้ผลิตได้ แต่ถ้าไม่ได้รับความนิยมและมีวอลุ่มมากพอ ก็จะทำให้ Developer ไม่สนใจที่จะพัฒนาโปรแกรมให้ครับ
คู่แข่งของ Nvidia
แม้สิ่งที่ Nvidia ทำจะยากแต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีคู่แข่งเลย หลายๆคนอาจจะมองไปที่ AMD และ ATI Radeon มากกว่า แต่ผมว่าคู่แข่งของ Nvidia จริงๆคือลูกค้าของ Nvidia ครับ
เพราะลูกค้าของ Nvidia คือบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Microsoft, Tesla ซึ่งให้ความสำคัญกับ Artificial Intelligence มากๆ การจะซื้อ Chip ใช้จาก Nvidia ก็คงไม่ได้แตกต่าง และไม่ได้มีข้อได้เปรียบเหนือบริษัทอื่นๆซักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงลูกค้าของ Nvidia หลายรายจึงเริ่มพัฒนา Chip ของตนเอง
Google – Chip ที่ Google พัฒนาคือ Tensor Processing Unit หรือเรียกว่า TPU ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นในปี 2016 TPU เป็น ASICs ประเภทหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับงาน Neural Network Machine Learning โดยเฉพาะ เพื่อใช้กับ Software Tensorflow ของ Google ข้อดีคือมันทำงานได้เร็วกว่า GPU ปกติเยอะมาก (ที่ไม่ได้ Optimize สำหรับ Cloud) ข้อเสียคือมันเอาไว้ใช้กับ Software Tensorflow ของ Google เท่านั้น และเท่าที่ผมเข้าใจน่าจะใช้เฉพาะการ Inferencing เท่านั้นด้วย ใช้ Training ใช้ GPU ยังดีกว่า
Google’s dedicated TensorFlow processor, or TPU, crushes Intel, Nvidia in inference workloads
Microsoft – Chip ที่ Microsoft ไม่ได้คิดค้น แต่เป็นคนริเริ่มใช้บน Azure คือ FPGA (Field-Programmable Gate Arrays) FPGA คือ Chip ที่ใช้ใน Project Deep Learning ที่ต้องการ Low Latency และ Reprogram ได้ ต่างกับ ASICs ที่ Reprogram ไม่ได้ Performance ดีกว่า GPU ในอดีต แต่ปัจจุบันชักไม่แน่ใจแล้ว เพราะ Nvidia เองก็ทำ Chip ที่ Optimize สำหรับ Deep Learning มากขึ้นเรื่อยๆ
Tesla - เมื่อก่อนใช้ Chip ของ Nvidia แต่ก็เปลี่ยนไปออกแบบ Chip ของตนเอง เพราะต้องการให้ Chip ที่ได้ Optimize เพื่องาน Autonomous Vehicle และสำหรับรถ Tesla โดยเฉพาะ ตัวล่าสุดจะผลิตโดย Samsung ซึ่ง Elon Musk บอกว่าเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลก โดยมีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 72 TOPS (Chip 2 ตัว)
หลายคนอาจสงสัยว่า TOPS น้อยกว่ารุ่นใหม่ของ Nvidia อย่าง Orin และ Atlan จะดีที่สุดในโลกได้ไง? อันนี้ต้องอย่าลืมว่า Chip ของ Tesla ถูกออกแบบมาเพื่อ Autonomous Vehicle และรถ Tesla โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น Software หรือ Architecture ของตัวรถทั้งหมดถูกปรับให้ทำงานร่วมกันแบบ Seamless
นึกภาพคล้ายซื้อ PC ประกอบคอมที่มีชิ้นส่วนหลาย Vendor กับซื้อ Macbook ที่ทุกอย่างมาจาก Apple อ่ะครับ ถ้าคุมทุกอย่างเอง โอกาสที่จะ Optimize ให้เหมาะสมได้ก็มี ดังนั้นแม้ TOPS ไม่เยอะ แต่อาจจะดีพอที่จะใช้งานแล้วก็ได้ อีกอย่างหนึ่ง Elon บอกว่าดีที่สุดอาจจะในหลายๆมุม เรื่องต้นทุนด้วยอะไรแบบนี้
จะเห็นว่าบริษัทอื่นๆก็ไม่ใช่จะไร้ตัวเลือกซะทีเดียวเมื่อต้องใช้บริการ Nvidia อย่างไรก็ตามผมคิดว่าสถานการณ์มันจะเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อ Nvidia ซื้อ ARM
การ Takeover ARM
ARM คือบริษัทที่ทำธุรกิจขาย Processor Chip Architecture แปลไทยคือขาย “แผนแม่แบบ” การทำงานของ Chip ประมวลผล ให้ลูกค้าเอาแผนแม่แบบไปพัฒนาและผลิตออกมาเป็น Chip โดย Chip ของ ARM มีจุดเด่นคือสามารถทำงานได้หลากหลาย และใช้พลังงานน้อยกว่า Chip ของ Intel มาก จึงเหมาะสมกับการนำมาใช้ใน Smartphone Internet of Things device หรือแม้แต่ Chip ในระบบรถยนต์ไร้คนขับ
ARM มี Market share กว่า 90% ในตลาด Mobile Processor มี Market share 75% ในระบบ In-vehicle Infotainment และ Advanced-Driver Assistance System (ADAS) Chip M1 ตัวล่าสุดของ Apple ก็ถูกพัฒนาบนพื้นฐานของ ARM
จะเห็นว่าอุปกรณ์อะไรก็ตามที่มีคำว่า Mobile อยู่ในนั้นแทบจะใช้ Processor ที่มีพื้นฐานมาจาก ARM ทั้งหมด ดังนั้นการซื้อ ARM ของ Nvidia ในครั้งนี้คือสเต็ปสำคัญของการต่อยอดธุรกิจของบริษัทเข้าสู่ยุค Edge Computing หรือยุคที่อุปกรณ์ต่างๆมี Processor และสามารถประมวลผลได้ด้วยตัวเอง
นอกจากนั้นการซื้อ ARM ยังเปิดประตูตลาด CPU ที่ประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำ ให้กับ Nvidia อีกด้วย
ถ้าดูใน Pitchdeck ดีๆจะเห็นว่า Nvidia ไม่ได้ผลิตแค่ GPU อีกต่อไปแล้ว แต่มี DPU (Data Processing Unit) ที่ได้ Know-how มาตอน Takeover Mellanox และต่อมากำลังจะมีแผนออก CPU สำหรับ Data Center ชื่อ Grace สำหรับงาน High performance Computing ด้วย
ต่อไปในงาน Machine Learning, Deep Learning หรือ Cloud Computing จะ CPU, GPU หรือ DPU บริษัทต่างๆแทบจะไม่สามารถหนีพ้น Chip ของ Nvidia ได้เลย
ยิ่งซื้อ ยิ่งประหยัด ยิ่งขยายธุรกิจได้เร็ว ยิ่งคุ้มค่า Nvidia กลายเป็น One-Stop-Shopping ครบวงจรตั้งแต่ Architecture ตัว Chip ไปจนถึง Platform สำเร็จ ตอบโจทย์ทุกสิ่งทุกอย่างของการทำ AI
การเติบโตในอนาคต
มองไปในอนาคตอีก 3-5 ปีข้างหน้า ตลาดที่น่าจับตามองของ Nvidia น่าจะเป็นเรื่อง Cloud Computing ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตสูง โดยมีตลาดรถยนต์เป็น New-S-Curve (ทั้งๆที่ S-Curve ตัวเก่าก็ยังไม่ Mature เลยนะ)
เราอาจจะได้เห็น Nvidia ทำอะไรกับ ARM มากกว่าการเป็นแค่ CPU ที่ใช้พลังงานน้อยแน่ๆ โดยปีที่ผ่านมาก็มี GPU ของ Nvidia บางโมเดลแล้วที่ทดลองใช้ Architecture ของ ARM
ปี 2023 – 2025 จะเป็นปีที่เราเห็นการเติบโตของ AI ชัดเจนที่สุด ซึ่ง Nvidia ก็น่าจะเติบโตตามไปด้วย
การมาของ AR VR โลก Metaverse ก็น่าจะทำให้การเติบโตของ Nvidia สูงขึ้นได้อีก เพราะจำเป็นต้องใช้การ Computing หนักมาก
สรุปคือตลาดเดิมของ Nvidia ก็โตอยู่แล้วในระดับ 30-50% ช่วงก่อนวิกฤต แต่หลังจากนี้แนวโน้มการเติบโตอาจมีการชะลอลงบ้าง แต่ในระยะยาวๆ Nvidia ยังได้ประโยชน์จากการบุกเข้าไปในตลาดใหม่ๆที่ยังไม่ได้มีผู้นำที่ชัดเจน ซึ่งการมี ARM อยู่ด้วยจะทำให้โอกาสตรงนี้สูงขึ้นอย่างมีนัยยะ เรียกได้ว่าเป็นหุ้นที่เล่นระยะยาว 3-5-10 ปี ราคาตรงไม่น่าอยู่ตรงนี้
อย่างไรก็ตามในระยะสั้น Nvidia ยังคงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ...
ความเสี่ยงของ Nvidia
รายได้ Game ปีที่ผ่านมาเติบโตสูงเกินคาด จากการ Lockdown ทำให้คนมีเวลาอยู่บ้านเล่นเกมส์ มากขึ้นผนวกกับ Nvidia มีการออกรุ่นใหม่ GeForce RTX 30 Series รวมไปถึง GPU บางส่วนถูกซื้อไปขุดคริปโตฯ ซึ่งตอนนั้นก็เป็นช่วงขาขึ้นที่รุนแรงมากๆของคริปโตด้วย ตอนนี้คริปโตตกลงมาหนัก Ethereum กำลังจะเป็นวิธีการขุดจาก Proof of Work เป็น Proof of Stake อาจทำให้แนวโน้มความต้องการ GPU ในตลาดลดลง รวมไปถึงพอเปิดเมืองทุกคนกลับไปทำงานทำการ การจะมานั่งคิดเรื่องเกมส์ก็น่าจะน้อยลง
ปี 2019 หุ้น NVDA ตกจากการชะลอการลงทุนของ Hyperscalers ปี 2020 หุ้น NVDA ขึ้นจากการลงทุนของ Hyperscalers ปี 2021? ลงทุนเพิ่ม ชะลอ? ถ้าประเมินได้ก็อาจจะพอบอกแนวโน้มของการเติบโตของรายได้ Data Center ของ Nvidia ได้ อย่างไรก็ตาม ไตรมาสล่าสุดรายได้ Data Center ของ Nvidia โตมา 70%+ และการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเริ่มต้นใน Q2 ปี 2020 พอดีๆ (Q2FY21 ของ Nvidia) อัตราการเติบโตในไตรมาส 2 มีแนวโน้มลดลงจากฐานที่สูงในปีที่แล้ว ดังนั้นการจะคาดหวังให้ รายได้จาก Data Center โตเกิน 50% ถือว่าท้าทายมากๆ
และที่สำคัญปี 2020 ที่ผ่านมามีการ Take over Mellanox บริษัทผู้นำ Chip Processing และ Network ของ Data Center เข้ามาทำให้รายได้จาก Data Center โตเยอะในไตรมาส 2
การกลับมาของ Trade War ในรูปแบบของ Tech War Nvidia มีรายได้จากจีนราวๆ 1 ใน 4 ของบริษัท ถ้าเกิดอะไรขึ้น รายได้จากจีนอาจลดลงเป็นการชั่วคราวจากการชะลอเพื่อรอดู ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2018-2019
รายได้ Nvidia ในปี 2021 มีสัดส่วนดังนี้
ใต้หวัน 27.1%
จีน+ฮ่องกง 23.3%
สหรัฐฯ 19.3%
เอเชียแปซิฟิก 18.6%
ยุโรป 6.7%
อื่นๆ 5%
สรุปสิ่งที่ต้องจับตามองถ้าอยากลงทุนใน Nvidia
จะเห็นว่าความเสี่ยงที่ผมเขียนมาทั้งหมด เป็นความเสี่ยงระยะสั้น และ External Factor ที่ค่อนข้าง Out of Control ของบริษัท จากที่ติดตาม Nvidia มาผมค่อนข้างเชื่อมั่นใน Execution และ Direction ของ Nvidia มากๆว่ามากถูกทางซัก 80% แล้ว ในอีก 3-5 ปีข้างหน้าน่าจะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่มีบริษัทเทคฯที่สามารถทำอะไร Breakthrough ได้ในมุมของ Processor และ Computing Chip ผมเชื่อว่า Nvidia จะยังเป็นผู้นำตลาดไปอีกหลายปี
ถ้าความเสี่ยงด้านบนเกิดขึ้นผมเชื่อว่าเป็นความเสี่ยงระยะสั้นและ Nvidia น่าจะกลับไปเติบโตได้ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี การเติบโตระยะยาวอย่างเทรนด์ AI ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น Runway ของ Nvidia น่าจะยังอีกไกล
สุดท้ายถ้าไม่อยากพลาดบทความวิเคราะห์หุ้นแบบลึกๆ อย่าลืม Subscribe กันไว้นะครับ ส่งบทความไปให้ทางอีเมลล์เลย
หรืออีกทางคือ Add Trendlongtun LINE เอาไว้ครับ อัพเดทเมื่อไหร่ LINE บอกตลอดครับ