เชื่อว่านักลงทุน VI หลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกับ Concept ของ Moat หรือป้อมประการป้องกันคู่แข่งของธุรกิจต่างๆอยู่แล้ว ยิ่งมี Moat มากเท่าไหร่ ธุรกิจนั้นยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น ในธุรกิจ Technology ก็เช่นกัน Moat เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆถ้าเราต้องการลงทุนในธุรกิจนั้นแบบระยะยาวจริงๆ
ยิ่ง Moat แข็งแกร่ง และทำลายยากมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเป็นธุรกิจคุณภาพสูงมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่า Technology จะถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ Moat ต่างๆอาจถูกทำลายได้ง่ายจาก Disruption
ในฐานะนักลงทุนคนนึงที่ลงทุนในหุ้น Technology มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง วันนี้ผมนั่งคิด หาข้อมูลอ่านเพิ่มเติม และตกผลึกเรื่อง Moat ได้ประมาณนึง เลยอยากจะเขียนบันทึกออกมาไว้ซักหน่อย พร้อมตัวอย่างที่ผมพอนึกได้ เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่กำลังสนใจในหุ้น Technology ครับ
ในความคิดผม Moat ของธุรกิจ Technology มีอยู่ประมาณ 8 แบบด้วยกัน
1. Scale Moat
Technology ที่ต้องลงเงินเยอะมากถ้าไม่มี Scale ไม่มีผู้ใช้จำนวนมาก ไม่คุ้ม เช่นการสร้างชิปเป็นของตัวเอง TPU ของ Google การที่ Tesla สร้าง Tesla Dojo ขึ้นมาเทรน Neural Net (ทำชิปเองเช่นกัน) หรือจะเป็น FBA Fulfilled by Amazon ก็ถือว่าเป็น Project ที่ถ้าไม่มี Scale ทำไม่ได้เช่นกัน
Moat ประเภทนี้จะไม่ใช่ Moat ที่บริษัท Technology เล็กๆจะทำได้ Start-up มาแข่งอะไรแบบนี้เป็นไปไม่ได้เลย จริงๆแล้ว Scale Moat เนี่ยไม่ค่อยต่างกับธุรกิจธรรมดาเท่าไหร่ แต่ความดีงามของธุรกิจ Technology คือมัน Scalable มากกว่าธุรกิจแบบ Traditional มากๆ
นึกภาพว่า Google ทุ่มเงินสร้าง TPU ขึ้นมาทำเงินเพิ่มขึ้นจากขาย Compute ใน Cloud เท่าไหร่ก็ได้ เงินที่ลงทุนเรื่อง TPU ไปก็ไม่เพิ่มขึ้น (Assume ไม่พัฒนาต่อนะ) ต้นทุนผลิตชิปจะเล็กมากๆเมื่อเปรียบเทียบกับฐานรายได้ของ Google Cloud
ลองนึกภาพถ้าธุรกิจ Traditional สมมุติได้ Know-how อะไรบางอย่างมาเช่นสูตรโค๊กที่ขายดีมากเป็นต้น การผลิตโค๊กยังคงมีต้นทุนอยู่ดี ต้องทำการตลาด ต้องหา Partner ดังนั้นจะใช้เวลาในการ Scale และก็ไม่ใช่จะตามกันไม่ได้เลย จะเห็นว่ามี Est และ Big Cola เกิดขึ้น
ข้อเสียของ Moat ตัวนี้คือมักจะอยู่ในธุรกิจที่เป็น Late stage growth หรือ Mature growth แล้วเท่านั้นแทบจะไม่ค่อยเห็นใน Early Stage growth เท่าไหร่
2. Supply Chain Moat
อำนาจต่อรองกับ Supplier แข่งกันซื้อ GPU ใครได้เยอะกว่าใคร TSMC มีกำลังการผลิตจำกัด บริษัทเล็กๆจะซื้อแบบบริษัทใหญ่คงไม่ได้ บริษัทใหญ่ได้เปรียบ หรือในกรณีของ Apple จะเป็นอำนาจต่อรองกับ Developer ในการลงแอปใน App Store ไม่มีใครกล้าต่อรองกับ Apple ทุกคนยอมจ่าย 30% แต่โดยดี เพราะรู้ว่าถ้าขายแอปใน App Store ได้โอกาสที่แอปจะประสบความสำเร็จจะมีสูงมาก แถมถ้า Apple พัฒนาอะไร Developer ก็สามารถตามไปขายแอปได้ตามธุรกิจที่ Apple บุกไป
Supply Chain Moat ในธุรกิจ Technology มักจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อธุรกิจนั้นๆมีผู้ใช้จำนวนมาก และกลายเป็นธุรกิจที่มีอำนาจต่อรองสูง หรือบางครั้งอาจต้องมี Scale ก่อนแล้ว Supply Chain Moat จะตามมา เลยทำให้ธุรกิจ Technology หลายๆธุรกิจเน้นสร้าง User ก่อนในช่วงแรก
Software ประเภท Open-source ก็ถือว่ามี Supply Chain Moat ได้เช่นกัน เช่นมีคนใช้ Apache Kafka เยอะมาก พอต้องการจะใช้แบบ Advance ก็ต้องไปหา Confluent เป็นต้น ใช้ Open-source เป็นใบเบิกทาง แล้วจบด้วย Managed Service
3. Ecosystem (Network) Moat
การมี User หลายๆฝั่งอยู่เยอะมากและเพิ่ม Value ให้กันและกันในลักษณะของ Network Effect ไม่ว่าบริษัททำอะไร เหล่า User ก็จะตามไปสนับสนุน UBER มี UBER Ride เสร็จตามด้วย Uber Eats ออกบริการใหม่ได้ง่ายๆเพราะมี Driver/Rider อยู่แล้ว
META ออก Product อะไรออกมาก็ปังได้ใน 2 วิ เช่น Threads ที่สามารถ Cross User มาจาก Instagram ได้ทันที ผมเชื่อว่าไม่ใช่แค่ User ที่ Cross มาต่อไปก็คง Cross Advertiser มาด้วย เมื่อ Threads เริ่มมี Scale จะเห็นว่า META ใช้ท่านี้ตลอดไม่ว่าจะเป็นกับ Snapchat ที่ออก Story หรือ Tiktoks ที่ออก Reels ตามมา
หรืออย่างการออก Amazon Prime ที่ออกมาปุ๊ปก็มีลูกค้าเลยเพราะมาจากลูกค้าเดิมของ Amazon เป็นต้น ลองนึกภาพดูครับว่าถ้าเราอยากตี Amazon Prime จะตียังไง? นึกไม่ออกล่ะสิ หึหึ นี่แหละ Moat
Snowflake ลากลูกค้าให้เอา Database มาไว้กับ Snowflake แล้วถึงเวลาอยากแชร์ Data ก็สามารถทำได้เลยถ้าอยู่ในระบบของ Snowflake เหมือนกัน
4. Distribution Moat
ใครมีเครือข่ายในการทำการตลาดหรือให้บริการมากกว่ากัน มีความใกล้เคียงกับธุรกิจ Traditional อันนี้แบ่งได้เป็น 2 แบบคือ B2B และ B2C
ฝั่ง B2B เช่นธุรกิจ Software ใครมี Sales Agent มากกว่า ใครสนิทกับ Reseller มากกว่า Implementor ใครเก่งกว่า เช่น ZS มี Sales Agent ในฝั่งของ Zero-Trust มากกว่า NET บริษัทต้องการออก Product Zero-Trust บ้างเลยต้องไปเอา Sales Agent ของ ZS มา
ฝั่ง B2C เช่น Meituan มี Community Manager ที่อยู่ในแต่ละชุมชนอยู่แล้ว สามารถใช้เป็นศูนย์กลางทำ Community Buying และอาจขาย Product อื่นๆได้ด้วย เช่น Grocery
จะว่าไปมันก็คล้ายๆดีลเลอร์หรือสาขาในธุรกิจ Traditional แหละครับแต่ Know-how มันเป็นเรื่องที่ Specific สำหรับบริษัท Technology นั้นๆ
5. Data Pipeline Moat
ส่วนตัวผมเชื่อว่า Data ไม่ใช่ Moat แต่ Data Pipeline ตะหากที่คือ Moat วิธีการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพกว่า ตรงจุดกว่า ได้ปริมาณมากกว่า Tesla ทุกคันติดกล้องส่งข้อมูลกับ HQ เพื่อเอาไปทำ Model Full-self driving ต่างกับรถ EV แบรนด์อื่นๆที่อาจจะเก็บข้อมูลได้ไม่เท่า Tesla
Shopify เข้าไปอยู่ใน Journey การขายของลูกค้าเกือบทั้งหมด ดังนั้นจะได้ข้อมูลของลูกค้า มีทั้ง Online และ Offline แบบแทบจะ Real Time ธุรกิจ Software จะมี Data Pipeline ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ไม่เหมือนธุรกิจ Traditional ดังนั้นการพัฒนาหรือการเปลี่ยนแปลงจะเร็วกว่า
ธุรกิจดั้งเดิมเช่น Logistic ก็เริ่มเก็บข้อมูลกับเพิ่มบ้างแล้วผ่านพวกป้าย QR Barcode ต่างๆ แต่ก็จะได้แค่เรื่องการส่งของ ไม่เห็นข้อมูลหน้าบ้าน ข้อมูลตอนลูกค้าตัดสินใจซื้อ ดังนั้นคนที่ทำครบ Loop มากกว่า Data Pipeline Feed มาครบเป็น End-to-End จะได้เปรียบมากๆ
6. Technical Moat
มี Advanced Model ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องคู่แข่งตามไม่ทัน หรือ Technical บางอย่างที่คนอื่นไม่มี ARM ASML Nvidia พวกนี้ถือเป็น Technical Moat ทั้งสิ้น TSMC มี Moat สูงมากถึงกับขึ้นราคาใส่ Apple ได้
Technical Moat สูงๆดูไม่ยากเพราะมักจะมาคู่กับ Margin ที่สูง และจะได้ประโยชน์สูงมากๆถ้าในอุตสาหกรรมนั้นเป็น Mono หรือ Oligopoly (ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น) แต่ถ้าเป็น Fragmented หรือคู่แข่งมากรายเช่น 5-10 รายขึ้นไป มักจะไม่ใช่ Technical Moat ละเป็น Technical "โม้" มากกว่า
7. Product Moat
ทำ Product / Service มีจุดเด่นชัดๆ ถูกสุด เร็วสุด ใช้ง่ายสุด Colab กันได้ดีสุด มีฟังกชั่นครบถ้วนสุด ในจุดที่สำคัญที่สุด จุดสำคัญที่สุดนี่สำคัญมากๆนะครับ มีทุกอย่างหมดแต่อยู่ในจุดที่ไม่สำคัญคือจบข่าวเลย ถ้าเป็น Software ก็ต้องเป็น Mission Critical แท้
วิธีจะดูว่าอยู่ในจุดสำคัญแค่ไหนให้นึกภาพว่าถ้า Product / Service นั้นๆหายไป เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทบ้าง?
ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย อาจจะพนักงานอารมณ์เสียหน่อยเพราะทำงานลำบาก แบบนี้ไม่สำคัญครับ
ต้นทุนในการจัดการสูงขึ้น อาจกระทบกำไรลดลง แบบนี้สำคัญขึ้นมาหน่อย
รายได้ลดลง บริการลูกค้าได้ไม่ดีเท่าเดิม อันนี้สำคัญมาก
ต้องปิดบริการชั่วคราว รายได้ไม่ใช่ลดลง แต่หายไปเลย อันนี้โคตรสำคัญ Mission Critical ที่แท้ทรู
ส่วนเรื่องราคาถูกจะวัดกันด้วย Total Cost of Ownership (TCO) แต่ประเด็นของมันไม่ใช่ Cost ตามชื่อ แต่เป็น Value ที่ลูกค้าได้รับสูงขึ้นแต่จ่ายเงินถูกลงในภาพรวม ส่วนใหญ่จะเกิดกับพวก Managed Service Software
เดี๋ยวนี้ Product เดี่ยวๆไม่ค่อยสร้าง Moat แล้วส่วนใหญ่จะเป็น Suite of Product มี Product หลายตัวที่ลูกค้าต้องใช้ จะเปลี่ยนทีต้องเปลี่ยนยกแผง เกิดความยุ่งยากมากมาย
8. Switching Cost Moat
การเปลี่ยน Provider จะทำให้เกิดปัญหาหนักมาก ยากมากเช่นพวก Infra Software MDB CFLT ที่ 20-30ปี เปลี่ยนครั้ง ได้ลูกค้าแล้วกินกันยาวๆ หรือการที่ Apple ทำให้ลูกค้าใช้ iPhone, Apple Watch, iPad, Mac การจะเปลี่ยนจะเป็นเรื่องยากมาก (ใครหาวิธี Download รูปจาก iCloud ได้แบบไม่ Pain บอกผมด้วย) ทำให้ Retention สูง เป็นถังน้ำที่ก้นไม่รั่ว วิกฤตมาโตต่อไม่ได้ชั่วคราวแต่ก็ยังมีรายได้จากลูกค้าเดิมอยู่
ทั้ง 8 Moats นี้ไม่จำเป็นต้องมีให้ครบหมด แต่บริษัทเทพๆมักจะมีครบหมดเลย แล้วถ้าจะเทพจริงๆคือมันจะเป็น Moats ที่สูงมากๆสูงเสียดฟ้าในทุกหมวด ทำให้การจะบุกตีเมืองแทบเป็นไปไม่ได้เลย ในมุมของการลงทุนถ้าหุ้นเล็กๆที่เรากำลังลงทุนเจอกับคู่แข่งที่มี Moats ทั้ง 8 แบบนี้ละก็ ระวังไว้เลยครับ การเติบโตอาจจะไม่ยั่งยืน
สิ่งที่เป็นข้อควรระวัง ....
Moat ≠ Magic ถ้า Product / Service คุณแย่ ไม่พัฒนาต่อเนื่อง Moat ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ซึ่งการพัฒนา Product / Service ก็มีหลายแบบตั้งแต่ Verticalization, Go-to-Market, Post-sales account control, Brand บลาๆ
Moat ควรมาก่อน Gross Margin อย่าคาดหวังกำไรสูงๆแต่แรก สร้าง Moat ก่อนแล้วเดี๋ยวกำไรจะตามมาเอง
หน้าที่ของ Founder/CEO ต้องลงทุนเวลาและ Resource ในการสร้าง Moat สื่อสารเรื่องการเติบโตที่ Align ไปด้วยกัน ทำได้ดีมากๆก็จะทำให้บริษัทมี Premium สูง ดูตัวอย่าง Amazon ครับ ไม่มีกำไรมาไม่รู้กี่ปี แต่หุ้นขึ้นมหาศาล Jeff Bezos ถือเป็นบริษัทที่ทำเรื่อง Moat และ Growth ได้ดีมากๆ
เอาจริงๆ Moat ในธุรกิจเทคโนโลยีก็ไม่ได้ต่างกับ Moat ในธุรกิจทั่วๆไปมากเท่าไหร่ เพียงแต่ส่วนผสมมันไม่เหมือนกัน เลยทำให้บางทีอาจจะรู้สึกสับสน หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนลงทุนได้ดีขึ้น เลือกหุ้น Technology ได้ของดีจริง ไม่ใช่ของดีย้อมแมวครับ
รอบหน้าไว้ผมจะมาเขียนเรื่องการทะลวง Moat ตีป้อม พังกำแพงของธุรกิจ Technology กันครับ ใครสนใจก็ Subscribe กันไว้ครับ
_________________________________________________
สัมมนาออนไลน์ Trendlongtun Deep Dive Webinar
||||| AI COMMERCE |||||
_________________________________________________
1 สัมมนา กับหุ้น E-Commerce 13 ตัวเน้นๆ เจาะลึก Case-study การใช้ AI และเทคโนโลยีในการสร้างการเติบโต และปิดการขายให้ลูกค้าตาดำๆอย่างเราหมดตัวแบบไม่รู้ตัว !!!
AI Commerce เป็นสัมมนาภาคต่อจาก AI Maker นะครับ AI Maker = ผู้สร้าง AI ... AI Commerce จะเป็นฝั่งผู้นำไปใช้งานมากกว่าดังนั้นเนื้อหาจะไม่เหมือนกันแต่มีความเชื่อมกันครับ สามารถดูแยกกันเข้าใจได้ครับ .... ตอนแรกก็ไม่คิดจะทำเร็วขนาดนี้ เพราะพึ่งทำ AI Maker ไปเมื่อราวๆ 7-8 เดือนก่อน
แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าไม่รีบทำตอนนี้ ผ่านไปอีก 6 เดือนอาจจะไม่ต้องทำแล้วก็ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันอาจจะแพงเวอร์ๆไปหมดแล้ว สุดท้ายได้ความรู้แต่จะเสียโอกาสการลงทุนดีๆไปต้องรออีกพักใหญ่ๆก็น่าเสียดาย ... อีกใจก็แอบรู้สึกอยากรองบ 2Q ออกก่อน แต่สัญชาติญาณมันบอกว่าอย่ารอเลย .... ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ผมรีบทำคอร์สนี้ก่อนคอร์สที่อยู่ในแผนครับ ใครสนใจมาจอยกันเชิญดูที่รายละเอียดด้านล่างได้เลยครับ
DAY 1 - MEGA-Commerce
10.00 - 10.30 ทำไมต้อง AI ทำไมต้อง E-Commerce
10.30 - 11.30 หุ้น AMZN Amazon & The Ecosystem เจ้าแห่ง E-Commerce และ Ecosystem ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
11.30 - 12.00 หุ้น WMT Walmart ผู้ท้าชิง E-Commerce การTurnaround ของ "อดีตราชา" แห่งวงการจะทำได้ไหม?
พักเที่ยง
13.00 - 14.00 หุ้น SE Sea Limited เจ้าของ Shopee เจ้าแห่ง "SEA"-Commerce
14.00 - 15.00 - หุ้น PDD Pinduoduo ผู้นำตลาดนัดออนไลน์ บุกตลาดสหรัฐฯ
พัก 30 นาที
15.30 - 16.30 - หุ้น MELI เจ้าแห่ง E-Commerce ใน Latin America
16.30 - 17.00 - Q&A
DAY 2 - STAR-Commerce
10.00 - 11.00 - หุ้น SHOP Shopify ศูนย์กลาง E-Commerce ของร้านค้าทั่วโลก โตด้วยเทรนด์ Direct to Consumer
11.00 - 12.00 - หุ้น AFRM เมื่อมี Commerce ต้องมี Payment การ Turnaround ของ ผู้นำ Buy Now Pay Later
พักเที่ยง
13.00 - 14.00 - หุ้น CHWY ร้านขายอาหารสัตว์ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด
14:00 - 15:00 - หุ้น STNE ม้ามืดของวงการ Commerce
พัก 30 นาที
15.30 - 16.30 - Alibaba Ecosystem แถมหุ้นที่ยังไม่เข้าตลาด ให้เอาข้อมูลไปตัดสินใจกันครับ
Cainiao ธุรกิจ 4PL Smart Logistic Platform
AliCloud Cloud ตัวท๊อปของเมืองจีน กับตลาด Cloud ที่กำลังกลับมาเติบโต
Lazada หัวหอกการเติบโตในระดับโลกของ Alibaba
Ant Financial Platform การเงินที่กำลังจะกลับมาเข้าตลาดอีกครั้ง
16.30 - 17.00 - Q&A
==============================
รายละเอียดงานสัมมนา
งานจัดวันที่ 22 กรกฎาคม 2566 และวันที่ 5 สิงหาคม 2566
เวลา 10.00 น. - 17.00 น.
สัมมนา 2 วัน ออนไลน์ 100% มีคลิปให้ดูย้อนหลังได้ตลอดไปครับ
จัดปีละครั้ง รับจำนวน 50 ที่นั่ง สำหรับรอบราคาพิเศษครับ
ราคาพิเศษเฉพาะการจองก่อนงานสัมมนาครับ หลังงานสัมมนาจะเป็นราคาปกติครับ
สไลด์ 500+ หน้า คัดเนื้อๆ มีทั้งเนื้อหาการใช้งาน การวางกลยุทธ์ของแต่ละบริษัทครับ
คอร์สนี้คือโอกาสสุดท้ายในการเข้ากลุ่ม Facebook Supporter และดูสัมมนารายเดือน Trendlongtun Deep Dive แบบฟรีเป็นเวลา 2 ปี กลุ่มจะใช้ในการสอบถาม Update ข่าว และมีสัมมนา Update หุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจรายเดือนให้ฟรีทุกเดือนครับ (ตอนนี้มีคลิปวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศและความรู้พื้นฐานต่างๆให้ดูแล้วกว่า 30 คลิป เช่นหุ้น TSLA, GLBE, RBLX, BYD, BABA, UPST, MBLY, AMD, NVDA เป็นต้น)
สิทธิในการเข้าร่วมสัมมนา Online ประจำปี "Trendlongtun 2024 Star Preview" และพอร์ตลงทุนหุ้นที่น่าสนใจในปี 2024 ครับ (สำหรับสัมมนาเก่าปี 2023 สามารถเข้าดูได้เลยในระบบครับ)
ลงทะเบียนจองสิทธ์และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ หรือกดที่ปุ่มด้านล่างได้เลยครับ
_________________________________________________
หรือถ้าอยากสอบถามข้อมูลเพิ่ม IB เพจ Trendlongtun ได้เลยครับ → https://m.me/trendlongtun?ref=av_ev
หรือ ADD Line แล้วถามได้เลยครับ https://line.me/ti/p/@trendlongtun
_________________________________________________
ขอบคุณครับ พี่มาร์ช (ตามเข้ามาจากสัมนา CSI)