หุ้น GLBE สวรรค์ของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ปลดแอกร้านขายของออนไลน์จากการเป็นทาส Amazon หุ้นสาย E-Commerce ที่ยังมีอนาคตอีกไกล [Deep Dive]
นึกภาพว่าเราเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และต้องการขายของออกไปทั่วโลกแบบจริงจัง ถูกต้องตามกฏหมาย ไม่ใช่แบบขายขำๆใน Ebay แน่นอนว่าพ่อค้าแม่ขายเหล่านั้นนอกจากจะต้อง คิดราคาสินค้าเป็นเงินของประเทศนั้นๆแล้ว ยังต้องเข้าใจกฎหมาย Tax Vat การนำเข้าในประเทศที่ต้องการไปขาย และการส่งออกจากประเทศตนเอง ไหนยังต้องหาสายส่งสินค้าเพื่อจะส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้า และถ้าลูกค้าดันต้องการเปลี่ยนหรือคืนเงินยังต้องจัดการปัญหาตรงนี้ด้วย
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว จากสวรรค์ของการขายของออนไลน์กลายเป็นนรกบนดินชัดๆ จะไปขายของต่างประเทศต้องมีพนักงานเป็นกองทัพซึ่งอาจไม่คุ้มค่า แต่ถ้าไปแบบไม่ลงทุนอะไรเลยก็กลายเป็นทำให้ Experience ของการซื้อของแย่ลง.... ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปถ้าคุณหันมาใช้บริการ GLBE หรือบริษัท Global-E !
GLBE มี Mission คือการทำให้ Global E-Commerce "Border-Agnostic" หรือทลายกำแพงการขายของออนไลน์ไปทั่วโลก ด้วยการทำให้บริษัทหรือคนที่ต้องการขายของออกไปทั่วโลกสามารถให้บริการลูกค้าได้เหมือนลูกค้าใช้บริการจากร้านท้องถิ่น "Go Global. Be Local"
ผลลัพธ์ไม่ได้มีเพียงแค่ความสะดวกของคนขายเท่านั้น แต่เมื่อคนซื้อก็ซื้อของได้สะดวกมากขึ้น สุดท้ายทำให้เกิด Sale Conversion ที่สูงขึ้น คนขายขายของได้มากขึ้นอีก จนบางครั้งเป็นยอดขาย International ที่สูงขึ้นถึง 60% !!!
ตัวธุรกิจแก้ Pain point ได้แจ่มแจ้ง แต่ในมุมของหุ้น GLBE เนี่ยมีอะไรน่าสนใจบ้าง?
หุ้น GLBE น่าสนใจยังไง?
อย่างแรกที่ผมสังเกตจากหุ้น GLBE เลยคือ ปัจจุบันหุ้นมี Market Cap แค่ 6.7 Billion ถือว่ายังเล็กพอสมควร ถ้าเราไปดูหุ้น E-Commerce ชั้นนำต่างๆจะเห็นว่า Market Cap แต่ละตัวใหญ่ๆทั้งนั้น AMZN 1.6 Trillion SHOP 172 Billion SEA 124 Billion ในขณะที่ตลาด E-Commerce นั้นขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากๆ ถ้านับเฉพาะ Cross-Border อย่างเดียวจะอยู่ที่ 736 Billion ในปี 2023 ผมว่า GLBE ทำดีๆมีลุ้น 50-100 Billion เป็นอย่างน้อย (กาวมั้ยล่ะ แต่อีกกี่ปีไม่รู้นะ หรือก่อนไป 10 เด้งอาจจะลงไปก่อน 80% ไรงี้ 555)
ตัวเลข Key สำคัญของธุรกิจ Software คือทำได้ดีมากๆ Gross Dollar Retention Rate 98% , Net Dollar Retention 140% หมายความว่าลูกค้าใช้แล้วติดกันระนาว
Merchant Acquisition cost มหาโหด คืนทุนภายใน 6 เดือน
GMV ของ Merchant ใน Platform โต 86% ในไตรมาส 3 ปี 2021 รายได้โต 77% กำไรขั้นต้นโต 127% หุ้นทรงประมาณนี้คือกำลังเกิด Economie of Scale ทำให้กำไรโตมากกว่ารายได้ ถ้ายัง Keep การเติบโตแรงๆแบบนี้ได้ EV/Sales แพงๆจะลดลงมาเร็วมากๆ
GLBE เป็นธุรกิจ Software โดย Nature คือถึงจุดๆหนึ่งการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจะน้อยกว่ารายได้ เราจะได้เห็นกำไรขั้นต้นโตระเบิด หุ้นแบบนี้ Deserve Valuation Multiple สูงๆ ได้เพราะโตได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่ Platform ใหญ่แล้วนี่ สัดส่วนการลงทุนใหม่จะน้อยลงเยอะ Cashflow ในอนาคตจะดีมากๆ
Business Model แบบ Classic Tech กินค่า Fee ส่วนแบ่งรายได้จาก Volume ของลูกค้า ลูกค้าขายมากขึ้น บริษัทก็โต
ลูกค้าของ GLBE ตอนนี้คือแบรนด์ที่ Well known มากๆเช่น LVMH, Kering , Sephora, Netflix ดังนั้นผมว่าข้อกังขาของลูกค้าในการใช้บริการ GLBE จะน้อยลง ทำให้การเติบโตของ GLBE ง่ายขึ้นเยอะ
หุ้นกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจากต้องใส่เงินเพิ่มไปเป็นหุ้นที่มี Cashflow Positive ซึ่งจะทำให้เกิดการเข้าซื้อครั้งใหญ่ของนักลงทุนสถาบันได้หลังจากนี้ โอกาสที่หุ้นจะลงหนักแล้วกลับขึ้นมาทำ New High ในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี มีสูง
ในระยะสั้นหุ้นผ่าน Lock-Up Period ไปแล้ว Secondary Offering ก็ผ่านไปแล้ว ดังนั้นแรงขายน่าจะลดลงเยอะพอสมควร แต่ดันมาเจอลุงชื่อ Powell แทน ตอนนี้หุ้นลงมาจากจุดสูงสุด 44%
ส่วนตัวผมมองว่าจุดนี้คือโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจดีๆมาดูรายละเอียดกันครับว่า GLBE ทำธุรกิจยังไงบ้าง?
Pain Point ของธุรกิจของ GLBE
GLBE เป็นบริษัทสัญชาติอิสราเอล เพิ่งเข้า IPO ในตลาด NASDAQ เมื่อกลางปี 2021 ก่อตั้งในปี 2013 ใช้เวลาเพียง 8 ปีเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 520 ราย เป็นแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันดี
GLBE คือคำตอบของยุคที่แบรนด์ทั้งหลายต้องสู้กับการขูดเลือดจาก Marketplace Platform อย่าง Amazon จ่ายเงินเหมือนกัน แต่ถ้าไปกับ GLBE ยังคงเป็นเจ้าของคุมปัจจัยต่างๆได้เอง แต่ไปกับ Amazon เมื่อไหร่จะไม่ต่างกับทาส ที่ Amazon จะเขี่ยทิ้ง ออก Housebrand มาแข่ง เอาแบรนด์คู่แข่งมาประกบ หรือบังคับให้ลดราคาเมื่อไหร่ก็ได้
ดังนั้นด้วยปัญหาตรงนี้ทำให้หลายๆแบรนด์พยายามที่จะทำธุรกิจในรูปแบบ D2C หรือที่เรียกว่า Direct-to-Consumer ขายตรงหาลูกค้าแม่มเลย ออนไลน์เจอ Amazon ออฟไลน์ก็ต้องเจอยี่ปั๊ว ซาปั๊ว เป็นยุครุ่งเรืองของธุรกิจตัวกลาง แต่สิ่งเหล่านี้กำลังเปลี่ยนไป
GLBE คือ Software ประเภทหนึ่งเนี่ยแหละที่เกิดมาเพื่อทำให้การค้าขายกลายเป็น "Border Agnostic" เรียกเท่ห์ๆคือไม่มีพรมแดน แล้วอะไรนะที่มาทำให้การค้าขายมันมีพรมแดน?
ปัญหาที่พ่อค้าแม่ค้าเจอกันตอนนี้คือ กฏหมายนำเข้าส่งออกของแต่ละประเทศที่ต่างคนต่างทำ ไม่เหมือนกันซักประเทศ ภาษีที่แตกต่างกัน ภาษาที่ใช้ของลูกค้าแตกต่างกัน การขนส่งที่แตกต่างกัน วิธีการจ่ายเงินแตกต่างกันบางประเทศเน้น Credit Card บางประเทศคนไม่มี Credit Card ต้องไปใช้ COD แทน ... นี่ยังไม่นับรวมพวก Post-transaction อย่างการคืนของ ขอคืนเงิน เปลี่ยนสินค้า
สุดท้ายการขายของออนไลน์เลยต้องไปอยู่กับยี่ปั้ว ซาปั้วด้วย ซึ่งคนเหล่านี้ก็ไม่ค่อยอยากจะทำ เพราะขายออฟไลน์แบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว ถ้าขายออนไลน์หมดอีกหน่อยบริษัทก็มาทำเองได้ แล้วยี่ปั๊ว ซาปั้วจะเอาไรกิน? แต่นี่แหละคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเลย
GLBE เล่าให้ฟังว่า Traffic ที่เข้าเว็บไซต์ขายของของ Merchant (ขอเรียกลูกค้า GLBE ว่า Merchant นะครับ) เนี่ยมี Traffic ต่างประเทศสูงถึง 30% แต่คนที่ซื้อของปิดการขายจริงๆดันเหลือแค่ 5-10% ปัญหาก็อย่างที่เขียนไปก่อนหน้านี้ ทำให้คนขายก็เซ็ง คนจะซื้อก็กลัวปัญหา เลยจบที่ยอดขายไม่ไปไหน
สุดท้าย GLBE เลยกำลังเข้ามาแก้ปัญหานี้ให้กับโลก E-Commerce โดยให้บริการดังต่อไปนี้ผ่านระบบของบริษัท
คุยกับลูกค้าของ Merchant ในภาษา Local และนำเสนอสินค้าในราคาสกุลเงิน Local
จัดเก็บสินค้า - ส่งสินค้า - รับคืน - เปลี่ยนสินค้าให้ - คืนเงิน
ปรับเปลี่ยนการจ่ายเงินในรูปแบบของ Local เช่นพวก จ่ายเงินปลายทางเป็นต้น
จัดการงานด้านนำเข้าและส่งออกแทนลูกค้า
เก็บข้อมูลเพื่อนำเสนอ Insight พัฒนา Feature ในการเพิ่มยอดขายและปิดการขายให้ลูกค้า
สรุปบริการรวมๆ คือทำทุกอย่างเพื่อส่งสินค้าของ Merchant ให้ไปถึงมือลูกค้าและจบการขาย (และบริการหลังการขายให้ได้) โดย Process ทั้งหมดนี้ลูกค้าไม่รู้เลยว่าคนทำคือ GLBE ลูกค้าจะคิดว่าเป็นการซื้อตรงกับ Louis Vuitton หรือ Sephora
และนี่แหละคือสิ่งที่ Merchant ชอบคือทุกอย่างยังอยู่ใน Control อยู่ ยิ่งสำหรับพวกแบรนด์หรูยิ่งดีเพราะ Luxury Brand ที่ต้องการคุม Online Environment และ Experience ให้ออกมาตามที่กำหนด (นึกภาพเอากระเป๋า Louis Limited Edition ไปขายผ่าน Amazon TMall หรือ Ebay สิ มันเป็นการฆ่าแบรนด์ตัวเองทางอ้อมชัดๆ)
GLBE ทำเงินยังไง?
GLBE มี Business Model แบบ Super Classic Software Company เลย คือการเก็บเงินจากลูกค้าเป็นส่วนแบ่ง % ยิ่งมีลูกค้ามากขึ้น รายได้ลูกค้าสูงขึ้น รายได้ GLBE ก็สูงขึ้นตามสัดส่วน % โดยณ.ปัจจุบัน GLBE มี Take Rate อยู่ที่ 17% โดยแบ่งเป็น Service Take Rate ที่ราวๆ 6-7% ที่เหลืออีกประมาณ 10% เป็น Fulfillment Service
ซึ่งถ้าเอา Take Rate มาเทียบกับ Platform ชั้นนำถือว่า Take Rate ของ GLBE ยังต่ำกว่าพอสมควร สาเหตุที่ต่ำกว่าก็อาจจะเป็นเพราะสิ่งหนึ่งที่ GLBE ไม่ได้มีให้กับ Merchant คือลูกค้าครับ ไป Amazon, Etsy, Ebay เนี่ยมี Traffic คนเข้ามาเห็นสินค้าแน่ๆละ แต่ถ้าเป็น D2C อันนี้อยู่ที่ตัว Merchant เอง
ซึ่งณ.ตอนนี้สัดส่วนรายได้ของ Service Revenue ของ GLBE จะยังน้อยกว่า Fulfillment Revenue อยู่ประมาณนึง
สัดส่วนรายได้ณ.ไตรมาส 3 ปี 2021 คือ
Service Revenue - 38%
Fulfillment Revenue - 62%
Service Revenue มีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่าเพราะบริษัทได้เพียวๆ ส่วน Fulfillment คือมีการไปจ่ายให้กับ Partner ด้านขนส่งของ GLBE ซึ่งก็คือ DHL ปัจจุบัน DHL ถือหุ้นของ GLBE 14%
ลูกค้าของ GLBE ส่วนใหญ่ถ้าดูจาก Revenue by Merchant Outbound จะเห็นว่ากว่า 74% คือสหราชอาณาจักรและยุโรป ส่วนส่งไปประเทศไหนบ้างนั้น หลักๆผมคิดว่าเป็นสหรัฐ จีน อังกฤษ เยอรมัน ออสเตรเลีย 5 ประเทศหลักๆที่มีการซื้อสินค้าแบบ Cross-Border สูงสุด
ณ.ปัจจุบัน GLBE ถือเป็น Software Cross-Border Commerce ตัวเดียวที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ครับ บริษัทบอกว่าพอเข้าตลาดมาก็ทำให้ Brand Awareness ของบริษัทดีขึ้นเยอะมาก ส่งผลให้ Merchant Acquisition cost ของบริษัทดีขึ้น
Merchant Acquisition Cost หัวใจของ GLBE
อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจ GLBE มากๆเลยคือเรื่อง Merchant Acquisition Cost GLBE ไม่ได้บอกว่าใช้เงินเท่าไหร่กว่าจะได้ Merchant 1 เจ้ามา On-Board แต่บอกว่าโดยค่าเฉลี่ยแล้วใช้เวลา 6 เดือนหลัง Merchant เริ่มขาย GLBE สามารถคืนทุน Acquisition Cost ทั้งหมดได้เลย อันนี้ถือว่าโหดมากๆ เพราะหลังจากนั้นจะถือว่าเงินที่ได้มาแทบไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรไปลงทุนต่อเลย เสือนอนกินที่แท้ทรู
ผมมานั่งๆคิดถึงเหตุผลว่าทำไม Merchant Acquisition Cost ถึงต่ำขนาดนั้น ได้คำตอบมา 2-3 ข้อครับ
ลูกค้าที่ GLBE ไปจับมาได้เป็นรายใหญ่ ซึ่งมีการขาย Cross-Border อยู่แล้ว พอเข้า Platform มาปุ๊ปก็ขายกระจุยเลย ทำให้ GLBE คืนทุนเร็วมากๆ
จะไปหาลูกค้ารายใหญ่หรือรายเล็ก มันก็ใช้ Sales ทีมเดียวกัน ใช้คนพอๆกัน ดังนั้นในช่วงนี้ผมว่า GLBE น่าจะไปหาลูกค้า Size ใหญ่ๆก่อนเพราะมันคืนทุนเร็วกว่า เหมือนที่บริษัท Software/Cloud ชอบมาขิงกันด้วยจำนวนลูกค้าที่เป็น Fortune 500 ไรงี้
ลูกค้าประทับใจมากบอกต่อซะงั้น อันนี้แทบไม่ได้มี Acquisition cost อะไรเลย และมักจะเกิดกับ Product/Service ที่แก้ Pain ได้แบบเต็มๆเท่านั้น ซึ่งดูๆไป GLBE ก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น ค่าเฉลี่ย Acquisition cost Breakeven เลยออกมาแค่ 6 เดือน
ผสานกับ Gross Dollar Retention ที่ 98% ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าลูกค้าใช้งานอย่างต่อเนื่องไม่มีใครเลิกใช้แม้สัญญาเริ่มต้นมักจะแค่ 1 ปี ยิ่งทำให้ GLBE กลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงินแบบมหาโหดสุดๆในอนาคต เมื่อ Economie of Scale ถึง Marginal Cost จะน้อยมากๆ นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราเห็น GLBE กำไรเร็วมากๆ (เผื่อใครไม่รู้ GLBE มีกำไรแล้วนะครับ)
ส่วนในมุมของการทำ Customer Acquisition ของ SMB ซึ่งใช้ Acquisition cost สูง ผมว่าตรงนี้ GLBE แก้ด้วยการ Partnership กับ Shopify ครับ ทำให้สามารถเข้าถึง Merchant รายย่อยได้โดยใม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเยอะ ไม่ต้องลงทุนมาก เป็น Smart move อีกอันหนึ่งแต่ก็แลกมาด้วยหุ้นที่ต้องออกให้ Shopify
Network Effect Fly-Wheel มหาโหดของ GLBE
ยิ่ง GLBE ทำ Platform ดีขึ้นให้ Merchant ใช้งานแล้วสะดวกสบายเท่าไหร่ ยิ่งมี Merchant เลิกทำ Cross-border เองแล้วมาใช้ของ GLBE มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งใช้เยอะ GMV สูงขึ้น รายได้มากขึ้น (GLBE เคยบอกว่าบางทียอดขายสูงขึ้น 60% เลยทีเดียว) ยิ่งใช้เยอะขึ้น สิ่งที่ตามมาคือข้อมูลที่มากขึ้น GLBE สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปเสนอแนะให้ลูกค้า ยิ่งยอดขายสูงกว่าเดิม GLBE ยิ่งได้ส่วนแบ่งเยอะขึ้นอีก เอาไปพัฒนา Platform ให้ดีขึ้น แล้วทุกอย่างวน Loop ไปเรื่อยๆ
ซึ่งตรงข้อมูลนี่แหละที่จะทำให้ GLBE มีแต้มต่อเหนือ Merchant รายใหญ่ที่อยากออกไปทำระบบเอง ลองนึกภาพนะครับว่าเราเป็น VP of Cross-Border ที่ใช้ GLBE อยู่แล้วอยู่มาวันนึงจะออกไปทำระบบของตนเอง ไม่เพียงแค่ต้องสร้างระบบเองใหม่ทั้งหมด ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน ใช้ค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ ไหนจะสูญเสียความช่วยเหลือที่มาจากข้อมูลของ GLBE ที่คอยเอา Insight มาช่วยเพื่อให้ยอดขายโตได้เรื่อยๆ
ลองนึกภาพว่าทำสำเร็จอาจจะไม่ได้ดีเท่า GLBE ก็โดนด่า แต่ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ เงินลงไปแล้ว แถมซวยดันยอดขาย Cross Border ตก มันจะไม่จบที่โดนเจ้านายด่าครับ แต่จะจบที่การโดนไล่ออก .... ผมเชื่อว่า VP บริษัทยักษ์ใหญ่คนนั้น ไม่น่าอยากให้การงานของตนเองต้องเสี่ยงครับ นี่คือเหตุผลว่าถ้าเข้ามาใช้ GLBE แล้ว ใครจะออกนี่ต้องคิดหนักมากๆ
และนี่แหละจะทำให้ข้อมูลที่ได้มา GLBE จะเอาไปออก Feature ใหม่ๆออกมากิน Take Rate ให้มากขึ้นอีก และเอาข้อมูลกับวอลุ่มตรงนี้ไปต่อรองกับ Partner ที่มาทำส่วนอื่นๆให้ GLBE เช่น Fulfillment, Payment Gateway หรือแม้แต่ BNPL ที่เชื่อมต่ออยู่ได้
เมื่อถึงจุดๆนึงที่ Ecosystem ของ GLBE แข็งแกร่ง จุดนั้นบริการ Cross Border อื่นๆจะเข้ามาแข่งน่าจะยากมาก สุดท้าย GLBE จะกลายเป็นเหมือน Amazon-as-a-Service ให้กับ Merchant ทั้งหลายในการขายสินค้าแบบ Cross border
Competitive Advantage ของ GLBE
เป็น Platform End-to-End ลูกค้า Integrate ง่าย สามารถใช้ได้กับร้านค้าทุกขนาด
Super diversified ทั้งประเภทธุรกิจของลูกค้า ประเทศที่ลูกค้าอยู่ ตลาดที่ไป ดังนั้น GLBE จะมีความเข้าใจลูกค้าในแทบจะทุกๆอุตสาหกรรม
มีข้อมูลการค้าขายมหาศาลที่จะช่วยร้านค้าเอาไปใช้ในการเพิ่ม Conversion ในการขายของได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเพิ่ม Payment option ประเภท xx ลงไปจะทำให้ปิดการขายง่ายขึ้น 30% สำหรับสินค้า yy เป็นต้น อันนี้ผมว่าสำคัญที่สุดมันคือตัวที่จะ Drive Flywheel Effect ให้ดีขึ้นเรื่อยๆทุกๆ Transaction ที่เกิดขึ้นบน Platform
GLBE มี Stickiness สูงมากๆ Net Dollar Retention Rate 140% และ Gross Dollar Retention Rate 98% เอาจริงๆถ้าใช้แล้วขายดีใครจะกล้าเปลี่ยน Platform ดังนั้น Value ของ GLBE ในอนาคตอาจไม่ใช่เรื่องจัดการกฎหมายให้ลูกค้า แต่จะเป็นเรื่องการ Drive ยอดขายด้วย Big Data ย้าย Platform แล้วยอดขายตกนี่รับลองเลยว่า Team Lead ที่ตัดสินใจย้ายโดนไล่ออกชัวร์ ดังนั้นโอกาสที่คนจะย้ายออกจึงยาก เพราะมันเสี่ยงกับหน้าที่การงาน
เป็นตลาดเฉพาะทางที่ถ้า GLBE โตได้ไว โอกาสเป็น Winner-Take-Most หรือ Winner-Take-All สูงมากๆ ในเมื่อเบอร์ 1 ดีที่สุด ถูกที่สุด ใครจะอยากไปเบอร์ 2-3-4? สร้างเองก็ไม่คุ้มค่า เลิกทำก็ต้องกลับไปเจอ Amazon
สุดท้ายไม่เชิง Competitive Advantage Founder 3 คนยังถือหุ้นอยู่ประมาณ 12% ของทั้งบริษัท ตอน Secondary Offering ขายไปแค่ 8% ผมว่าขายไปไม่เยอะนะ เป็น Sign ที่ดีพอสมควร แปลว่าทั้ง 3 คนยังเห็น Value ในบริษัท VC ที่ลงทุนมาก่อนก็ขายไปไม่เยอะประมาณ 10%+- เหมือนกัน
การเติบโตของ GLBE
บริษัทบอกว่าการเติบโตสามารถทำได้ 5 ทางด้วยกันคือ ....
วอลุ่มของ Merchant โต GMV โต รายได้ของ GLBE ก็มากขึ้นตามไปด้วย วิธีการเพิ่มวอลุ่มก็ตามหลักเลย เอาข้อมูลมาทำเป็น Insight ในการเพิ่มยอดขายให้ Merchant พอ GMV โต ค่า Fee ของ GLBE ก็โตตาม ตอนนี้ Top 10 Merchant ของ GLBE มีสัดส่วน 30% ของ GMV
เพิ่มจำนวนของ Merchant ปัจจุบันมีอยู่ 520 ราย ไม่น่าเพิ่มยากมาก ตั้งแต่เข้าตลาดมาลูกค้ารู้จัก GLBE เยอะขึ้นมา ยิ่งปัจจุบันมี Track Record แล้วน่าจะยิ่งง่ายขึ้นไปอีก โดยปกติ GLBE ใช้เวลาในการ On-board Merchant 3-4 เดือน ดังนั้นจะเห็น Effect หลังการ IPO คือไตรมาส 2 ปี 2022 เลย
ขยายตลาดด้วยการ ขยายพื้นที่การให้บริการ ประเทศใหม่ๆ ขยาย Segment ของ Merchant ปัจจุบันมีอยู่ 200 ประเทศ 100 สกุลเงิน ตอนนี้ GLBE กำลังเน้นขยายมาฝั่งเอเซีย โดยเปิดออฟฟิศที่ญี่ปุ่นแล้ว
ปรับตัวเข้าหาลูกค้าด้วยการออก Feature ใหม่ๆ Add-on มาบริการลูกค้าเพิ่มเติม (แน่นอนว่าไม่ฟรี) ซึ่ง Feature เหล่านี้อาจจะมาจากการพัฒนาขึ้นมาเองหรือ M&A เข้ามาเลย จริงๆวิธีนี้ดีมมาก สามารถเอามาเทสกับลูกค้าก่อนได้ว่าเวริค์หรือไม่? ถ้าเวริค์ก็ซื้อเลย โดย Feature ต่างๆคงพัฒนาอยู่บน Concept ของการเป็น Frictionless Experience สำหรับลูกค้า ข้อนี้ GLBE มีการ execute ไปแล้ว 1 ด้วยการ Take over Flow Commerce
Partnership หา Partner ใหม่ๆ คล้ายๆ Shopify และสร้าง Relationship กับ Key player ของตลาด ทรงนี้ผมว่า GLBE จะหา Partner ที่มีฐานลูกค้ารายย่อยเยอะๆ ด้วยเหตุผลคือลูกค้าเหล่านี้อาจจะไม่คุ้มลงไปทำเอง ใช้วิธีหา Partner แล้ว Integrate แบ่งค่า Fee เอาดีกว่า รายได้ไม่ได้เยอะมาก แต่สิ่งที่ได้มาคือข้อมูลมหาศาล ผมว่า Value มันอยู่ตรงนี้
สิ่งที่น่าสนใจในงบการเงินของ GLBE
การเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวลงจาก 92% เหลือ 77% GMV โต 86% จาก 95% ในไตรมาส 2
Gross Profit Margin เพิ่มขึ้นดี แสดงถึง Economie of Scale ที่ยอดเยี่ยม ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดของ GLBE
ค่าใช้จ่ายมหาศาลจากการแปลง Warrant ของ Shopify ทำขาดทุนหนักมาก
Adjusted EBITDA ที่ชะลอตัวลงจากการเพิ่มขึ้นอย่างโหดของค่าใช้จ่ายต่างๆ แม้จะเอา Shopify Warrant ออกไปแล้ว R&D โตจาก 3 ล้านเป็น 8 ล้านจากการต้องระบบ Integrate กับ Shopify และ SBC SGA 4 ล้านเป็น 13 ล้าน จากค่า IPO, Secondary Offering และ SBC
Guidance Q4 เติบโตดี แต่ๆ Adjusted EBITDA ยังเท่าเดิม แปลว่าค่าใช้จ่ายเยอะๆยังคงทรงตัว
น่าจะเห็น Improvement ในเชิง YoY Growth แบบมีนัยยะคือแถวๆ 3Q ปี 2022 เพราะ Base ที่เทียบจะเป็น Base ที่มีค่าใช้จ่ายพิเศษและพวก One-time ตอนเข้า IPO แล้ว แถมบริษัทบอกว่าการเติบโตจะเห็นชัดๆ 2H2022
สรุปรวมๆงบการเงินส่วนตัวผมไม่กังวลกับค่าใช้จ่ายมากมายณ.ตอนนี้ครับขออย่างเดียวให้ GMV Growth มา Merchant Growth มาผมเชื่อว่ากำไรโตได้ไม่ยาก 2-3 ปีมีโอกาสเห็น Bottom Line เป็นบวกได้ไม่ยาก
ความเสี่ยงของ GLBE
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหุ้นที่ Shopify แปลงไป เอามาขายในตลาดเลยไหม เคยมี Case Amazon ได้ปุ๊ปขายปั๊ป ราคาหุ้นเลยถูกกดดันแบบนั้นไปทั้งปี ดูตย.จาก PLUG และ AFRM ได้ (ใครรู้หลังไมค์หน่อยนะครับ)
ถ้าตลาด NASDAQ ถล่มก็ลาก่อนนะฮะทุกคน เจอกันใหม่ 6-12 เดือนเป็นอย่างน้อยเดาๆนะ
การแข่งขัน ... อันนี้รู้สึกเสียวๆเหมือนกัน ตามเหตุและผลก็ดูไม่น่าจะมีใครมาเป็นคู่แข่งหลักๆนะ แต่ถ้าวันดีคืนดี Shopify หรือ Amazon ประกาศทำแบบ GLBE นี่ผมว่าวงแตกในระยะสั้นแน่ๆ แต่ระยะยาวยังเชื่อลึกๆว่ารอด
การเปิดเมืองของทั่วโลกอาจทำให้การซื้อของ E-commerce ลดลง รวมไปถึง Cross-Border E-Commerce ด้วย ... อันนี้ผมเชื่อนะ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นระยะสั้นซึ่งถ้ามันลดลงจริงจะเหนในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2022 นี่แหละ แต่หลังจากนั้นก็น่าจะโตต่อ ดูจากตัวผมเองตอนนี้ออกไปซื้อของข้างนอกได้แล้ว แต่ก็ยังซื้อออนไลน์เป็นหลักอยู่ดี
Seasonal Effect ของ GMV ไตรมาส 4 พีค แล้วไตรมาส 1 ต่ำสุด ส่วนใหญ่จะลดจาก Q4 ประมาณ 15-20% ซึ่งน่าจะทำให้กำไรของไตรมาส 1 ดูไม่ดี
อย่างไรก็ตามในจำนวนหุ้นที่ผมเขียนมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ GLBE เป็นหนึ่งในตัวที่ชอบที่สุดครับ คือเป็นหุ้นที่มี Character ตรงกับที่ผมตามหาทุกอย่าง กำไรกำลังจะ Turn ... Scale ได้แบบ Marginal cost น้อยมากๆ ... การหาลูกค้าคืนทุนเร็ว ... TAM ใหญ่ ... ตลาดมีความเฉพาะตัว ... มีจุดแข็งของตนเอง ... มี Network Effect แบบ Global ... ลูกค้าใช้แล้วเลิกใช้ เปลี่ยนเจ้ายาก Switching Cost สูง ... สถาบันยังถือน้อย และมี Runway การเติบโตอีกมาก
ในมุมของ Valuation และราคาเดี๋ยวผมมาเขียนต่อให้ในตอนสองนะครับ
ขอบคุณสำหรับบทความครับ วิเคราะห์ได้ดี และอ่านสนุกมากครับ
ขอบคุณมากครับ อ่านแล้วชอบมาก