หุ้น DDOG โตตามเทรนด์ MultiCloud IaaS [Deep Dive]
มีกำไรแล้ว Outlook โตต่อเนื่องด้วย Monitoring และ Analytics Platform
ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาหุ้น Cloud หลายตัวมีการปรับฐานกันยกแผง แต่ก็ยังมีหุ้นบางตัวที่ Outlook ของงบออกมาดีกว่าที่คาดทั้งในเชิงการเติบโตของรายได้และค่าใช้จ่าย หุ้น DDOG เป็นหนึ่งในหุ้น Cloud ที่ Outlook ออกมาค่อนข้างดี วันที่ประกาศงบหุ้นดีดขึ้นไป 12%
หุ้น DDOG น่าสนใจยังไง?
DDOG เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนมาใช้ Cloud ของบริษัททั้งหลาย จาก Painpoint ที่เกิดขึ้นคือพอย้ายข้อมูลขึ้นมาบน Cloud แล้ว แต่ยังมีข้อมูลบางส่วนอยู่บน On-Premise (Server ของบริษัท) การจะติดตามข้อมูล Monitor ทั้ง 2 ส่วนใช้ Effort มาก Software Monitor ของระบบ On-Premise เอามาใช้ใน Cloud ไม่ได้ หรือถึงได้ก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ส่วนของระบบ Cloud ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ Support On-Premise
พอปัญหาตรงนี้เกิดทำให้ข้อมูลบางส่วนหลุดนอกวงโคจรไป และเชื่อมต่อกันไม่ได้ เกิดเป็น Data Silos (ต่างคนต่างอยู่) ข้อมูลไม่ Sync กันทำให้ทีมทำงานยากและไม่เกิด Collaboration สูงสุด
DDOG ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 เพื่อทำลาย Silos ที่ว่านี้ ให้ทีม Development และทีม Operation สามารถทำงาน
ร่วมกันได้อย่างราบรื่นด้วย Product ของ DDOG เป็น Real-time Data Integration Platform ที่สามารถให้ข้อมูลที่ Monitor ทุก Data Point ทั้ง On-cloud On-premise และ Third Party ออกมาเป็น Insight ที่เข้าใจง่ายและใช้งานได้จริง
ปัจจุบัน DDOG ไม่เพียงแค่พัฒนา Fullstack Monitoring tools ที่สามารถสอดส่องดูแลข้อมูลได้แบบ 360 องศาในฝั่งของลูกค้า แต่ยังพัฒนาไปถึงการทำ Experience Network และ Security Monitoring เพิ่มเติมอีกด้วย
ด้วยความหลากหลายของ Product สาย Monitoring และการใช้งานที่เชื่อมต่อได้หมดทั้ง AWS Azure และ GCP ทำให้ DDOG สามารถดึง LTV (Life time value) จากลูกค้าได้สูงขึ้น สัดส่วนของต้นทุนต่ำลง เพิ่ม Stickiness จากการที่ลูกค้าใช้งานหลายผลิตภัณฑ์
78% ของลูกค้าใช้ Product ของบริษัท 2 อย่างขึ้นไป 33% ใช้ 4 อย่างขึ้นไป 10% ใช้ 6 อย่างขึ้นไป ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการใช้ Model Land and Expand ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ
(Land and Expand คือกลยุทธ์ที่บริษัท Cloud และ Enterprise Software ส่วนใหญ่ใช้กัน ง่ายๆคือปิดลูกค้าให้ได้ก่อน Ticket ไม่ต้องใหญ่มาก จะใช้โปรโมชั่นโหดๆอัดก็ได้ แต่เนื่องจาก Cloud และ Enterprise Software เป็น Product ที่คนใช้แล้วใช้ยาว ไม่ค่อยเปลี่ยน Vendor ระหว่างทาง ดังนั้นในปีแรกๆอาจจะไม่คุ้มต้นทุน แต่พอใช้ไปเรื่อยๆ ลูกค้า Upgrade ใช้งานมากขึ้นจะกำไรดีมากในช่วงหลัง เลยเรียกว่า Land ก่อนแล้ว Expand ทีหลัง)
คุณสมบัติทั้งหมดนี้ทำให้ปัจจุบัน DDOG เป็นหุ้นสาย Cloud IaaS ที่มีการเติบโตสูง ไตรมาส 4 ปี 2021 ที่ผ่านมาโต 84% เร่งตัวขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ 75% และ ไตรมาส 2 ที่ 67%
RPO (Remaining Performance Obligation) โต 88% RPO อารมณ์คล้ายๆ Backlog ของหุ้นอสังหา มันคือรายได้ที่รับมาล่วงหน้าแต่ยังไม่สามารถบันทึกเป็นรายได้ได้ เพราะลูกค้ายังไม่ได้ใช้ ดังนั้นแนวโน้มการรับรู้รายได้ในอนาคตของ DDOG ยังคงมีแนวโน้มที่ดีอยู่ด้วย
ไตรมาส 4 ที่ผ่านมายังเป็นไตรมาสที่บริษัทกลับมามีกำไรอีกครั้งจากรายได้ที่เติบโตสูงขึ้น และการใช้งาน Product ที่มากขึ้นจากลูกค้า
ช่วงก่อนหน้านี้ที่มีกำไรคือช่วงไตรมาส 1-2 ปี 2020 ตอน COVID พอดีๆเคยมีกำไรไปแล้วรอบนึง หลังจากนั้นลงทุนทำ Product เพิ่ม Cost สูงขึ้นแต่การเติบโตของรายได้ลดลง ทำให้ Gross Profit ลดลงเลยกลับไปขาดทุนอีกครั้ง
ปี 2022 จะเป็นปีเก็บเกี่ยวของ DDOG จากการที่ลูกค้าใช้บริการบาง Product แล้วและใช้บริการ Product อื่นๆเพิ่มเติม สิ่งที่ DDOG ให้เป็นหัวใจเลยคือ Product ของ DDOG ต้อง Easy to Adopt และมี Short time to Value เอาง่ายๆคือใช้ง่ายและใช้เวลาไม่นานเพื่อประเมิน Value ... ตรงเนี้ยมันทำให้คนซื้อตัดสินใจง่าย รายได้ก็เข้ามาเร็ว ตรงนี้เป็นจุดที่ผมชอบมากๆของ DDOG
_________________________________________________
สัมมนาออนไลน์ Trendlongtun Deep Dive Webinar
||||| MISSION CRITICAL - The World of Software |||||
_________________________________________________
Deep Dive Webinar ที่สองของเพจมาแล้วนะครับ ตอนนี้ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร มันหนีไม่พ้นต้องใช้ Software และ Cloud จริงๆ ดังนั้นรอบนี้เป็นการเอาหุ้น Software, SaaS และ Cloud ทั้งหลายมาชำแหละ เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง และเจาะลึกกลยุทธ์การเติบโต + ประเมิน Valuation เน้นๆสไตล์บทความเทรนด์ลงทุน Deep Dive ที่ทุกคนกำลังอ่านอยู่นี่ครับ ^_^
1 สัมมนา กับหุ้น Software 28 ตัว !!! ครบจบใน 2 วัน !
The Hyperscaler - AMZN vs MSFT vs GOOGL 3 ตัวนี้จะเน้นไปที่ธุรกิจ Cloud นะครับ
Data Cloud - SNOW vs Databrick (IPO)
Data Infrastructure - CFLT ESTC MDB
Observability & Monitoring Tools - DDOG vs SPLK vs NEWR
Cybersecurity - CRWD vs S และ หุ้น NET vs ZS
Commerce Software - BILL GLBE SHOP BRZE
Metaverse Software - U
DarkHorse Review - UPST
Chinese Software Review - TUYA WEIMOB KINGDEE GLODON FSLY
Legacy Software Review - CRM ADBE
Deep Valuation - SNOW, CFLT, GLBE, DDOG, CRWD
รายละเอียดงานสัมมนา
ช่วงเวลาของสัมมนาเบื้องต้นน่าจะเป็นช่วงเดือนกันยายน หลังงบออกหมดแล้วนะครับ วันและเวลาที่ชัดเจนจะแจ้งอีกครั้งก่อนทำการโอนเงินครับ
สัมมนา 2 วัน ออนไลน์ 100% ช่วงเวลาเป็นวันเสาร์นะครับ มีคลิปให้ดูย้อนหลังได้ 2 ปีครับ
ปีนี้จัดรอบเดียว รับ 50 ท่านครับ รอบต่อไปคือปีหน้าครับ
สไลด์ 500+ หน้า คัดเนื้อๆครับ
เข้ากลุ่ม Exclusive สำหรับ Trendlongtun Deep Dive ใช้ในการสอบถาม Update ข่าว และมีสัมมนา Update หุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจรายเดือนให้ครับ (สำหรับท่านที่เข้ากลุ่มมาแล้ว จะได้รับเป็นส่วนลด 500 บาทสำหรับงานถัดไปแทนครับ)
สิทธิในการจองสัมมนา Online ประจำปี "เทรนด์ลงทุน 2023 Preview" ก่อน Public ครับ
สำหรับคนลงทะเบียน Early Bird จะได้ราคาพิเศษ 8,200 บาทครับ พอกำหนดวันได้แล้วจะปรับขึ้นเป็นราคาปกติต่อไปครับ
ลงทะเบียนจองสิทธ์และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ หรือกดที่ปุ่มด้านล่างได้เลยครับ
_________________________________________________
หรือถ้าอยากสอบถามข้อมูลเพิ่ม IB เพจ Trendlongtun ได้เลยครับ → https://m.me/trendlongtun?ref=av_ev
หรือ ADD Line แล้วถามได้เลยครับ https://line.me/ti/p/@trendlongtun
_________________________________________________
Product ของ DDOG ช่วยให้ลูกค้าชีวิตง่ายขึ้นยังไง?
ณ.ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่มักจะมุ่งไปใช้ Cloud เป็นหลัก ยกเว้น Application หรืองานบางอย่างที่ต้อง Maintain High-security หรือเป็น Mission Critical Application จุดนี้ลูกค้ามักจะใช้เป็น On-Premise หรือระบบของลูกค้าเอง การใช้ Product ของ DDOG ทำให้ Workflow และข้อมูลใน 2 ส่วนนี้ผสานกัน
การใช้ APM (Application Performance Monitoring) หรือ Log Data ของ DDOG ทำให้ลูกค้าค้นเจอปัญหาก่อนที่มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลังในที่ๆเดียว แทนที่จะต้องไปนั่งงมในหลายที่ เพราะใช้ Monitor Tools หลายตัว
เพิ่มความเร็วในการพัฒนา Feature และลด Effort งาน Labor ที่ไม่มีใครอยากทำลง Developer หรือ Engineer ทุกคนอยากทำอะไรคูลๆ อะไรที่ Breakthrough หมดอ่ะครับ ไม่มีใครอยากมานั่ง Maintainance หรือคอยหาจุดผิดพลาด มันไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การใช้ Platform ของ DDOG รวม Data Point เป็นจุดเดียวทำให้ลดเวลาในการหาปัญหาและทำให้แก้ปัญหาได้เร็วขึ้น
สุดท้ายเดี๋ยวนี้ Developer เก่งๆหายาก Amazon พึ่งเพิ่มเงินเดือนไป อะไรใช้ Software Save ได้ก็หันมาใช้ Software กันหมด DDOG Integrate กับ Platform หลักๆแทบทุกเจ้า มี Off the Shelf Solution ที่หยิบมาใช้ได้เลย ประหยัดเวลาซึ่งเป็นเงินเป็นทอง และเพิ่มประสิทธิภาพของทีม
สรุปคือผมว่า Value Proposition ของ DDOG คือการทำงานที่สำคัญ ไม่ต้องใช้ฝีมือเยอะมาก แต่ต้องถึกประมาณนึงและงานน่าเบื่อ แทนที่จะเอาคนเก่งๆไปทำ ซื้อเอาเลยง่ายกว่า จริงๆก็คล้ายๆกับ SaaS หลายๆตัวแหละครับ ทีนี้แล้วจุดเด่นของหุ้น DDOG เนี่ยมันอยู่ตรงไหนล่ะ? ต่างกับ Cloud ตัวอื่นยังไง?
จุดเด่นของหุ้น DDOG
งานเรื่อง Data Monitoring เป็นสิ่งที่ต้องใช้กันทุกบริษัท ยิ่งมี Data มากขึ้นยิ่งต้อง Monitor มากกว่าเดิม ลองนึกภาพว่ายิ่งมี Monitor Tools หลายๆตัวยิ่งหนัก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา Data ไม่เชื่อมกัน การจะเปลี่ยนไป Cloud อย่างแรกที่ต้องทำของบริษัทเลยคือหา Platform Monitoring ดีๆ ดังนั้น Adoption ของ DDOG น่าจะเกิดก่อนพวก Cloud SaaS ที่ Advance และเป็น Specific Work บางอย่างเช่น Confluent
Platform ของ DDOG มี Addresable market คือ IT Operation Management market ที่ 44 Billion ในปี 2024 ซึ่งบริษัทเชื่อว่าสัดส่วนใหญ่ของตลาดนี้ยังเป็น On-Premise และ Private Cloud ซึ่งยังไม่ได้รวม Multi Cloud และ Hybrid Cloud เข้าไป
ณ.ปัจจุบัน รายได้ TTM ของ DDOG อยู่ที่ 1 Bilion หรือประมาณ 2.5% ของตลาด IT Operation Management
DDOG มีรายได้แบบ Usage-based Revenue Model ยิ่งใช้เยอะยิ่งจ่ายเยอะ ดังนั้นการ On-Board ลูกค้าในช่วงแรกๆจะยังไม่เห็นรายได้มากเท่าไหร่ เพราะลูกค้าต้องใช้เวลาในการใช้งานระบบอย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ช่วงหลังๆพอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเข้า Growth Stage แล้ว การใช้งานจะสูงขึ้นมาก
ปัจจุบัน DDOG มีลูกค้า 18800 โต 32% จาก 14200 ในปีที่ผ่านมา
ลูกค้าที่ทำรายได้มากกว่า 1 ล้านเหรียญ 216 ราย โต 114% จาก 101
ลูกค้าที่ทำรายได้มากกว่า 1 แสนเหรียญ 2010 ราย โต 63% จาก 1228
DDOG เป็น Cloud Native แต่ Deployable บนระบบ On-Premise หรือ Hybrid Environment ได้ด้วย ต่างกับคู่แข่งเช่น เมื่อก่อน New Relic เป็น Cloud เพียงอย่างเดียว DDOG จึง Flexible กว่าคู่แข่งและทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย เพราะส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่ง On-Premise อยู่ (ปัจจุบัน New Relic น่าจะมี On-Premise แล้ว)
คู่แข่งของ DDOG
ตลาดทุกตลาดของ DDOG สรุปได้รวมๆคือแม้ยังไม่ใหญ่มากแต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แบ่งเป็น 4 ตลาดดังนี้ครับ
Infrastructure Monitoring Product แรกของ DDOG แข่งกับ IBM, Microsoft (MSFT) และ Broadcom (AVGO)
Application Performance Monitoring แข่งกับ Cisco (CSCO), Elastic (ESTC), New Relic (NWER) และ Dynatrace (DT)
Log Management แข่งกับ Splunk (SPLK) Elastic (ESTC) และ CrowdStrike (CRWD)
Cloud Monitoring แข่งกับ Cloud Native เช่น AWS, Azure, GCP
นอกจากนั้น DDOG ยังต้องแข่งกับคู่แข่งที่เป็น Open-Source หรือลูกค้าที่พัฒนาระบบของตนเองขึ้นมาด้วย ดังนั้นมาดูกันว่าแล้วอะไรทำให้ลูกค้าตกลงใช้ระบบของ DDOG ทั้งๆที่บางทีตัว Product ก็มีลักษณะคล้ายกัน
Competitive Advantage ของ DDOG
การ Launch Product เพื่อขยาย TAM อย่างต่อเนื่อง ในปีแรกๆ Product ของ DDOG คือระบบ Infrastructure Monitoring หลังจากนั้นไม่นาน DDOG ก็เพิ่ม Product ที่เกี่ยวเรื่องมาอีกหลายระบบ
ปี 2017 เพิ่ม Product APM ออกมาทับไลน์กับ New Relic
ปี 2018 เพิ่มระบบ Log Analysis มาแข่งกับ Splunk
ปี 2019 เพิ่ม Synthetic ระบบ Interaction Simulation เพิ่ม RUM (Real User Monitoring) เพื่อใช้ในการ Monitor User Activity ในฝั่ง Front End และเพิ่ม Security Monitoring เพื่อ Monitor เรื่อง Security ของระบบ
ปี 2020 เพิ่ม NPM (Network Performance Monitoring) เพื่อดูแลเรื่องระบบ Network
นอกจากนั้นยังมี Product อื่นๆที่มาเสริม Use Case ของลูกค้าให้เป็น End-to-End Solution เช่น การทำ Dashboard, Collaboration Tools และ ระบบ Alerts
กลายเป็น DDOG คือ 1 Stop Solutions ของระบบ Monitoring ที่สามารถใช้ในการติดตาม Metric ที่บริษัทให้ความสำคัญ Trace ข้อมูลได้เมื่อต้องการ และมีการ Log Activity ทั้งหมดนี่อยู่ในระบบเดียวกัน ลูกค้าติดต่อแค่ Vendor เดียว ไม่ต้องติดต่อกับหลาย Vendor ให้วุ่นวาย
แต่การจะมี Product เยอะแยะมากมายถ้ามันขายไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร จึงเป็นที่มาของข้อได้เปรียบข้อที่ 2 ของ DDOG คือความง่ายในการ Integrate เพราะส่วนหนึ่งของ Product เป็น Open-Source
การมีส่วนที่ Basic ที่สุดเป็น Open-Source มีข้อดีคือทำให้บริษัทที่อยากทดลองใช้สามารถลอง Implement ได้ทันที แต่ข้อเสียคือมันเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะเอาไปทำเองได้ ดังนั้น DDOG จึง Open-Source ระบบแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นคือระบบ Agent Code ส่วน Back-End ที่มีความสำคัญยังคงเป็นสิทธิ์ของบริษัท จุดนี้ต่างกับคู่แข่งเช่น Elastic ที่ทั้งระบบเป็น Open-Source
จุดขายหลักที่เด่นมากๆของ DDOG คือเป็นระบบที่มีความ Plug & Play ลูกค้าสามารถใช้งานได้ทันทีและมี Off the shelf Solution ให้เลือกโดยไม่ต้อง Dev อะไรเพิ่ม
Value Proposition ของ DDOG จึงเป็นความสะดวก เทียบกับคู่แข่ง New Relic ที่ออกระบบใหม่มาเป็น New Relic One ซึ่งเน้นความเป็นระบบ Open และลูกค้าสามารถพัฒนา Platform On-Top กับระบบของ New Relic ได้ ข้อดีคือเป็น Open-Source ข้อเสียคือลูกค้าไม่ค่อยจ่ายเงิน จะได้ลูกค้าเป็นบริษัทเล็กๆ Start Up แต่ลูกค้าใหญ่ๆที่ใช้เงินฟาดจะไปหาอะไรง่ายๆมากกว่า
ตรงนี้ชัดเจนแล้วว่าตลาดใครใหญ่กว่ากัน ระหว่างคนที่บริการแบบครบวงจรและเน้น Plug & Play ซึ่งทุกบริษัทน่าจะต้องการแบบนั้น กับบริษัทที่ซื้อระบบไปแล้ว ยังไม่จบต้องพัฒนาเพิ่มเติมเอง ถ้าเราเป็นลูกค้าและเราก็เป็นพนักงานกินเงินเดือนคนนึง ระหว่างระบบที่แพงแต่จบได้ผลงานทันที กับระบบที่ไม่แพงแต่อาจจะไม่จบเพราะต้องไปพัฒนา 1-2-3-4 ต่อ ผลงานได้รึเปล่าไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆคือเงินเสียไปแล้วถ้างานไม่มาอาจจะงานเข้าหน้าที่การงานแทนได้ เราจะเลือกแบบไหนครับ?
สุดท้ายเรื่องการคิดเงินกับลูกค้า อันนี้คล้ายๆ Snowflake อยู่เหมือนกันคือ DDOG คิดเป็น Usage-Based แบบ DDOG จะเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ให้ แล้วลูกค่าจ่ายเฉพาะที่จะเอาออกมาใช้ เอาออกมาใช้ส่วนไหน เป็นเวลานานเท่าไหร่ก็คิดเงินแค่นั้น ต่างกับของ Splunk ที่คิดรวมยอดทั้งก้อนของข้อมูลที่เก็บเอาไว้ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้ DDOG ถูกกว่า Splunk จนตอนหลัง Splunk ก็ปรับมาใช้ระบบการเก็บเงินแบบ DDOG เช่นกัน (ไม่แน่ใจว่าจะปรับตัวช้าไปหรือไม่)
ถ้าดูจากการตอบรับของราคาหุ้นก็จะรู้ว่ากลยุทธ์ของเจ้าไหนที่สร้าง Value ในเชิง Business สูงสุด ที่ใช้คำว่า Value ในเชิง Business เพราะผมเองเชื่อว่า Splunk, New Relic หรือ Elastic ก็มี Value ในตลาดที่เขากำลังจับอยู่ครับ ถ้ากลยุทธ์มาถูกทางเดี๋ยวก็กลับมาโตได้เอง เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ไปแตะตลาดใหญ่แบบที่ DDOG ทำได้ ด้วย Nature ของ Business Model (IMO นะ)
ส่วนณ.ปัจจุบัน เรื่องการมี Product ครบเป็น End-to-End เอาจริงๆคู่แข่งก็มีกันเกือบหมดละ เรื่องการ Charge ลูกค้าแบบ Usaged Base คู่แข่งก็ทำเหมือนกัน ดังนั้น Competitive Advantage ที่ยังอยู่ของ DDOG คือการที่เอาปัจจัยข้างบนทั้งหมดมารวมๆกัน และเข้าไปจับตลาดให้ถูกกลุ่มได้ก่อนคนอื่นเขา หลังจากนั้นพอลูกค้าใช้เยอะขึ้นเรื่อยๆ Economie of Scale ตามมา ทีนี้คู่แข่งจะมาแข่งด้วยผมว่ายากละ
ที่สำคัญคือแม้รายได้ของ DDOG จะอยู่ที่ปีละเพียง 1 Billion ซึ่งยังไม่เท่า Splunk ที่ 2.5 Billion แต่บริษัทกำลังจะเริ่มมีกำไรแล้ว ... อันนี้บอกอะไรบางอย่างถึงโครงสร้างทางการเงินและ Business Model ที่มี Efficiency สูงกว่าเยอะ
จากในกราฟจะเห็นว่า Operating Margin ของ DDOG ดีกว่าตัวอื่นๆ โดยเฉพาะ Splunk ที่มีรายได้เยอะกว่า DDOG เกินเท่าตัว แต่ยังขาดทุนอยู่
(FYI ว่าคู่แข่งหลายๆตัวของ DDOG ผมยังศึกษาไม่หมดนะครับ ผิดพลาดอะไรไปขออภัย)
การเติบโตของ DDOG
จากผู้ใช้ Opensource กลายเป็นลูกค้ารายเล็ก โตเป็นรายกลาง และสุดท้ายกลายเป็นรายใหญ่ ผมเชื่อว่าเทรนด์นี้ยังเติบโตต่อไปในปี 2022 จากค่าแรงที่สูงขึ้นบังคับให้ลูกค้าต้องทำการ Transformation อย่างเร่งด่วน และ Monitoring Platform มันเป็น Product ที่ยังไงก้ต้องใช้ .... และตัวที่ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายกว่าตัวอื่นๆคือ Product ของ DDOG
2-3 ปีที่ผ่านมา DDOG ออก Product ใหม่ตลอดแต่โชคไม่ดีที่ปี 2020 เจอ COVID เข้าไป อาจทำให้ Adoption ของลูกค้าและการตัดสินใจเกิดขึ้นช้าลงบ้าง อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าพอโลกกลับสู่สภาวะปกติ การทำงานของ DDOG จะง่ายขึ้น ไปเจอลูกค้าได้ การวางแผนของลูกค้าเก่าเองก็จะ Execusion เร็วขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับธุรกิจของ DDOG เพราะนั่นหมายความว่าก็จะมีคนมาใช้ Product มากขึ้น
Product ของ DDOG ทำให้ผมคิดถึง Ecosystem ของ Apple มี iPhone แล้วก็ซื้อ iPad ซื้อ Macbook ซื้อ Apple Watch สุดท้ายอาจไปจบที่ iMac ยิ่ง Value ของ DDOG คือประหยัดเวลา ประหยัดคน มันคือการประหยัดค่าใช้จ่าย แถมยังจำเป็นต้องใช้ในการขยายธุรกิจ การใช้จ่ายมากขึ้นจึง Make Sense
พอมีคนใช้เยอะๆใช้หลายๆระบบ DDOG ทำระบบ AI และ Machine Learning ขึ้นมาตรวจจับแทนครอบคลุม Product ทั้งหมดอีก อ่าวทีนี้สบายเลยลูกค้าไม่ต้องทำงานและ (อันนี้ความฝันอันสูงสุดของ Corporate Life ครับ งานน้อยลง เงินเดือนเพิ่มขึ้น หน้าที่การงานก้าวหน้า 555)
อีกอย่างเรากำลังเข้าสู่ยุคที่ไม่ใช่มีแค่คนที่สร้างข้อมูลอีกต่อไป แต่อุปกรณ์ ioT ต่างๆก็สร้างข้อมูลขึ้นมาได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าจะวิเคราะห์ยังไง แค่แก้ปัญหาในการ Monitor, Trace และ Log ข้อมูลมหาศาลเหล่านั้นที่กระจัดกระจาย และเคลื่อนไหวอย่าง Dynamic ให้ได้ก่อน แค่นั้นก็หืดขึ้นคอแล้ว
บริษัทให้ Outlook การเติบโตที่ 50% ดูน้อยเมื่อเทียบกับการเติบโตในไตรมาส 4 ปี 2021 ที่ 80% แต่ก็ต้องบอกว่า DDOG เป็นบริษัทที่ Guide ค่อนข้าง Conservative อยู่แล้ว ปี 2020 เคย Guide รายได้ไว้ 800 ล้าน แต่ออกมา 1,000 ล้าน
และถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่า DDOG หาลูกค้าใหม่ได้เข้ามาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยในอัตราที่สูงขึ้น ผมคิดว่าไตรมาส 4 ที่ผ่านมาคือไตรมาสที่มี Net Add สูงสุดของบริษัท ซึ่งลูกค้าใหม่เข้ามาแรกๆน่าจะ Contribute รายได้ไม่เยอะ แต่จะ Contribute เยอะขึ้นตามการใช้งานและความมั่นใจที่ลูกค้ามีกับบริษัท รวมถึงการใช้งาน Product ตัวอื่นๆของบริษัทด้วย
ถ้าลูกค้าใหม่ยังโตแบบนี้เรื่อยๆภายใน 2-3 ปี DDOG อาจจะใช้ไตรมาสเดียวในการหาลูกค้า เทียบเท่ากับลูกค้าที่บริษัทมีทั้งบริษัทในปี 2016 เลยก็เป็นได้
ปีที่ผ่านมา DDOG พึ่งเข้าไปอยู่ใน Magic Quadrant ของ Gartner เป็นครั้งแรกในฐานะหนึ่งใน Leader ซึ่งเป็นเรื่องดีในระยะยาว เพราะเวลา Vendor ดู จะหาคนมา Bid ก็หาจากตรงนี้แหละ
ในมุม Outlook ของกำไรบริษัท Guide ว่าปี 2022 จะมี Non-GAAP Operating Income ที่ 160-180 ล้าน และ Net Income ราวๆ 18 ล้าน ปีนี้มีกำไรปีหน้าน่าจะเห็นกำไรก้าวกระโดดแบบโหดๆถ้ายังสามารถโตใน Range 40-50% ได้ และรักษา GP ที่ 75-80% (ซึ่งบริษัทก็บอกว่าทำได้นะ)
ความเสี่ยงของ DDOG
ปีนี้เป็นปีที่บริษัท Cloud หรือ SaaS มีแผนในการเพิ่มค่าใช้จ่ายหลังจากที่ปิดเมืองไป 2 ปีเต็มๆค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลดลง อย่างไรก็ตามถ้า DDOG สามารถเติบโตได้ตามแผนจริง ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่น่ามีนัยยะมากนัก ภาวนาอย่าให้กลับมาปิดเมืองดีกว่าอันเนี้ยกระทบหนักของจริง
ความเสี่ยงก้อนใหญ่อีกตัวหนึ่งของ DDOG คือเรื่อง Valuation ในขณะที่หุ้น Cloud ตัวอื่นๆลดราคากันกระหน่ำ แต่ DDOG เพิ่งลดจากจุดสูงสุดแค่ 15% เท่านั้น ในระยะสั้น Momentum ของ Earning และ Outlook คงยังทำให้ราคาหุ้นไปต่อได้แต่ในระยะยาว ด้วย EV/Sales ที่สูงถึง 50 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 33 เท่า Forward EV/Sales ที่ 33 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 24 เท่า
ถ้ามองมุมนี้ก็ถือว่า DDOG มี Downside อีกประมาณ 30% ซึ่งบังเอิ้ญบังเอิญเท่ากับราคาที่ลงไปตอนปรับฐานรอบที่แล้วพอดีๆ
ก่อน COVID DDOG เทรดอยู่แถวๆ 37 เท่า เคยสูงสุดที่ 45 เท่า หลัง COVID เคยสูงสุดที่ 70 เท่า และต่ำสุดที่ 30 เท่า
ถ้า Assume หุ้นเทรดใน Environment เดิมราคานี้จะอยู่ตรงแถวๆ Average พอดีไม่ถูกไม่แพง แต่เอาจริงๆมันไม่เหมือนเดิมแน่ๆเพราะ Fed กำลังขึ้นดอกเบี้ยและดึงสภาพคล่องกลับ
ก็อยู่ที่ว่าการเติบโตของ DDOG และกระแสการเติบโตของ Enterprise CLOUD จะแรงกว่าหรือ Effect ของ Fed จะแรงกว่ากัน
สรุปหุ้น DDOG
เอาตรงๆผมว่า Product เขาไม่ได้ซับซ้อนมากเท่ากับบริษัทอื่นๆ คือ Monitor Tool แบบหนึ่ง แต่ความเจ๋งของ DDOG มันอยู่ตรงที่บริษัทสามารถทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้งานได้ง่าย และมีผลงานไวๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ผมว่าอันนี้ดี พอลูกค้าได้ไปอันนึงแล้วโอเค เขาก็คงกล้าที่จะลงน้ำหนักกับ DDOG เยอะขึ้น ต่างกับบริษัทอื่นๆที่อาจจะต้องลง Effort เพิ่ม ต้องเอาคนลงไปทำ คือมันไม่สะดวกสบายเท่าอันนี้
การออก Product เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำเองส่วนนึง เทคโอเวอร์มาขายลูกค้าเพิ่มส่วนนึง Cross-sell ไปรัวๆ ทำให้ Customer Acquisition cost ลดลง เพราะมันเฉลี่ยไปหลายๆ Product ไง แล้ว Ticket size ของ Customer มันก็จะใหญ่ขึ้นด้วย LTV สูงขึ้น ระยะเวลาในการ Breakeven กับลูกค้าหนึ่งคนสั้นมากๆ นี่ยังไม่นับรวม Effect ที่ข้อมูลมันจะต้องเยอะขึ้น ลูกค้ายิ่งต้องจ่ายเงินมากขึ้น ไหนจะมีเรื่อง Switching Cost ที่สูงเสียดฟ้าถ้าลูกค้าเผลอใจไปใช้หลายๆ Product
บริษัทแบบนี้คือบริษัทที่ Scalable ได้แบบไม่ต้องหาเงินเพิ่ม แถมหลังบ้านไม่รั่วเพราะโดนล๊อคไว้แล้ว ยิ่งโตยิ่งโคตรแกร่ง นึกภาพว่าเราต้องไปทำ Monitor Tools ขายแข่งกับ DDOG คือมีเงินอย่างเดียวอาจจะไม่พอนะแบบนี้
บริษัทดีเยี่ยม แต่ราคาก็สูงขึ้นมาตามคุณภาพ การเติบโตได้แบบ Top Tier ในขณะที่บริษัทอยู่ที่ขนาด 50 Billion ถือว่า Runway ยังพอมีอีกพอสมควรครับ
ชอบบทความวิเคราะห์หุ้นแบบนี้ ให้กำลังใจทีมงานด้วยด้วยการสมัครสมาชิกฟรี ด้านล่างเลยครับ ^_^
I have exciting news to share: You can now read Trendlongtun Tech Research in the new Substack app for iPhone.
With the app, you’ll have a dedicated Inbox for my Substack and any others you subscribe to. New posts will never get lost in your email filters, or stuck in spam. Longer posts will never cut-off by your email app. Comments and rich media will all work seamlessly. Overall, it’s a big upgrade to the reading experience.
The Substack app is currently available for iOS. If you don’t have an Apple device, you can join the Android waitlist here.
ขอบคุณมากครับ เข้มข้นเหมือนได้ดูรายการ Alpha Investor เลยครับ