Deep Dive Analysis เจาะลึก Xpev หุ้นรถไฟฟ้าจีน โตเร็ว
ในวันที่ Tesla Market Cap 1.2 Trillion Xpev ถูกไปหรือไม่? ว่าที่รายใหญ่ตลาดรถไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกประเทศจีน ควรมี Market Cap เท่าไหร่?
วันนี้วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 หุ้น TSLA ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ราคา 1,200 ดอลลาร์ มูลค่าบริษัทราวๆ 1.2 Trillion ในขณะที่บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆมีมูลค่าเพียงเสี้ยวเดียวของ Tesla
BYD เจ้าของ Blade Battery คู่ฟัดคู่เหวี่ยงกับ 4680 ของ Tesla มี Market Cap 128 Billion 1/9 ของ Tesla
NIO รถไฟฟ้าที่ Back โดย Tencent เจ้าของไอเดีย Battery Swap และ BaaS (Battery as a Service) มึ Market Cap 67 Billion 1/18 ของ Tesla
XPEV รถไฟฟ้าที่ Back โดย Alibaba ที่ก๊อป Tesla มาทั้งดุ้นตั้งแต่รถยัน Concept บริษัท แต่ปัจจุบันก็เหมือนจะเริ่มมีแนวทางของตนเองแล้ว มี Market Cap 40 Billion 1/30 ของ Tesla
LCID รถไฟฟ้าตลาดบนที่กำลังเดินรอยตาม Tesla เช่นกัน ผู้ก่อตั้งก็เคยอยู่ Tesla มาก่อน มี Market Cap 60 Billion 1/20 ของ Tesla
คำถามที่โผล่ขึ้นมาในหัวผมคือ นี่ Tesla มันแพงเกินไป? หรือบริษัทที่เหลือทั้งหมดมันกากเกินไป เลยราคาถูกอยู่ได้ขนาดนี้?
จริงอยู่ว่าในมุมของคุณภาพบริษัท ความแข็งแกร่งด้านการเงิน และหลายๆอย่างบริษัทพวกนี้สู้ Tesla ไม่ได้เลย แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทพวกนี้กากนะครับ แต่ละบริษัทถือเป็นบริษัทที่เก่งมากๆเลยทีเดียว (แค่ไม่เท่า Elon กับ Tesla) ทีมผู้บริหารก็โอเค การเติบโตก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรมาก
อย่าง BYD เองก็มี Blade Battery ที่นับได้ว่าไม่ได้แพ้ 4680 ของ Tesla ซักเท่าไหร่นัก Nio กับ Xpev เถึงแม้จะยังขาดทุน แต่การส่งมอบรถก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง อย่าง P7 ของ Xpev หรือ Lucid Air เนี่ยถ้ามาไทยผมบอกเลยว่าผมนี่แหละซื้อคนแรก
หรือจริงๆถูก Discount เพราะเป็นบริษัทจีน? ที่เอะอะก็ออกมาจัดระเบียบก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน?
แต่พอดูในรายละเอียด บริษัทที่ผมกล่าวมาก็ไม่ได้มีบริษัทไหนมี NN Inference แบบ Tesla, ยังไม่มีใครทำ Autonomous ได้ดีเท่า Tesla, ไม่มีใครมี Gigafactory ที่สุดยอดของความ Efficient, ไม่มีใครผลิต Chip เอง ทั้งหมดใช้ Off the shelf จาก Nvidia, ไม่มีใครมี Cashflow ดีเท่า Tesla ณ.ตอนนี้, ไม่มีใครมี Elon Musk เป็น CEO (แหงล่ะ) แต่ทั้งหมดก็กำลังมุ่งไปในทิศทางนี้เหมือนๆกัน บางบริษัททำให้ผมนึกถึง Tesla เมื่อ 3 ปีก่อน ก็เลยเป็นที่มาของบทความวันนี้ที่ผมจิ้มมา 1 ตัวเพื่อมาดูว่าจริงๆแล้วมันถูกเกินไปไหมนะ กับ Potential ที่น่าจะไปถึง
หลักการการจิ้มของผมคือ ….
Elon Musk เคยบอกว่า Prototype มันง่าย Mass Produce สิยาก ดังนั้นผมเลยหาบริษัทที่ Mass Produce ได้แล้วก็คือ Nio, Xpev, BYD, LI, LCID
ประเทศจีนจะเป็นตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นผมเลยมองไปที่ผู้นำ EV ในจีนเป็นหลักซึ่งก็คือ BYD, Xpev, Nio, Li เอา LCID ออก
เอาผู้เล่นที่มีรายได้จาก EV เพียวๆเท่านั้น ตัด BYD ออกไป
Nio ตอนนี้เน้นทำรถ EV ระดับบน และเดือนตค.มีการปรับปรุง Line การผลิตทำให้ตัวเลข Deliveries ออกมาไม่น่าจะดี แถม Nio ไม่มีโรงงานเป็นของตัวเอง BatterySwap ก็เป็น Concept ที่ผมไม่ Buy เท่าไหร่ เลยตัดเหลือ Xpev กับ LI
สุดท้ายเลือก Xpev เพราะ Concept ดูใกล้เคียงกับ Tesla มากสุด เพิ่งจะออกรถ P5 ที่ราคา $24,000 ดอลลาร์ออกมาในเดือนกันยายน และมีการประกาศเพิ่มโรงงานผลิตแห่งใหม่ Story คล้ายๆตอน Tesla ประกาศเปิด Gigafactory
ล่าสุด Xpev เพิ่งประกาศส่งมอบรถ Xpeng ไปแล้วกว่า 1 แสนคัน ถือเป็นบทพิสูจน์ที่ดีว่าบริษัทนี้น่าจะรู้แล้วว่าการทำธุรกิจ EV at Scale ต้องทำยังไง เพราะเอาจริงๆธุรกิจมันละเอียดอ่อนนะครับ ทั้งการผลิต การทำการตลาด การบริหารคน ไหนจะต้องสู้กับการแข่งขันที่มีเสด็จพ่อ Elon เป็นคู่แข่ง มันไม่ง่ายจริงๆ
ความน่าสนใจของหุ้น Xpev (หลังจากนี้ขอเรียก Xpeng นะครับ)
1.เป็นหุ้น EV จีนที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสามารถ Manufacture EV at Scale ได้และของที่ผลิตมาดีพอที่ได้ยอดขายที่มีนัยยะ และเติบโตได้
2.ระบบ Xpilot ของ Xpeng ดีวันดีคืน อาจจะไม่เท่า FSD Beta ของ Tesla แต่ก็นับว่าดีพอที่จะให้คนใช้งานขับในเมืองได้เมื่อ Xpilot 4.0 ออกมา
3.เพิ่งออกรถรุ่นใหม่มาคือ Xpeng P5 ที่ราคาโดนมากๆคือ $24000 หลังหัก Subsidies ( อารมณ์ Altis ไฟฟ้าราคา 8 แสนบาทเท่านั้น !!!) ราคาถูกแต่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีโหดๆเกิน Altis เยอะมาก นอกจาก P5 แล้วก็ยังมีรถ SUV ตัวแรกของบริษัทคือ Xpeng G3 ปรับโฉมใหม่เป็น G3i ยอดขายพุ่งให้เห็นทันที
4.กำลังจะทยอยมีโรงงานใหม่เปิดในปี 2022 และ 2023 ถ้าเปิดหมดจะมี Capacity ราวๆ 4 แสนคัน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1 แสนคัน (อารมณ์ Tesla เมื่อ 2-3 ปีก่อน)
5.ยอดขายเมื่อก่อนค่อนข้างช้า แต่ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมายอดขายเร่งตัวขึ้น อาจจะเป็นเพราะคนจีนหันมา Adopt ใช้ EV มากขึ้น (สนใจ Tesla แต่ซื้อไม่ไหวก็ไหลมา Xpeng เพราะถูกกว่า)
6.คนจีนเป็นประเทศที่ Adopt Technology ไวมากๆ มีเจ้ามือเปิดเมื่อไหร่ คนที่เหลือแห่ตามมาแน่นอน
7.ตอนนี้เริ่มมีส่งรถไป Norway แล้วรอดูผลตอบรับว่าจะดีแค่ไหน ผมเดาว่าจะออกมาดี ดูจากกระแสในเน็ตตาม Twitter, Reddit, Youtube
8.ปัจจุบันหุ้นยังขาดทุนอยู่ แต่ถ้าขายรถได้มากขึ้น โอกาส Turn OPM Positive ใน 2-3 ปีมีไม่น้อยเลย อันนี้ผมให้น้ำหนักมากๆเพราะถ้าหุ้นจะขึ้นเป็น 5-10 เด้งเร็วๆได้ ต้องผ่าน Process ที่มีอัตราการทำกำไร Cashflow เริ่มเป็นบวก หรือเติบโตให้เห็นติดต่อกันหลายๆไตรมาส (ถ้าไปซื้อตอนที่มัน Positive แล้วก็อาจจะคาดหวังผลตอบแทนแบบ 10X ช้าหน่อย)
ด้วยเหตุนี้ทำให้ Xpeng ที่ Market Cap 40 Billion ถ้า 5X ก็ 200 Billion นับว่าไม่ได้แพงจนน่าเกลียด ในกรณีที่บริษัททำ Autonomous Car ได้และสามารถเดินตามรอย Tesla ได้ ซัก 30-50% ก็น่าจะ Justify แล้ว (Assume ว่าตลาดในภาพรวมไม่ Crash ไปซะก่อนนะ)
อย่างไรก็ตาม Xpeng มีโครงสร้างธุรกิจที่แตกต่างกับ Tesla เยอะพอสมควร กลยุทธ์บางอย่างก็แตกต่างกันครับ
โมเดลธุรกิจของ Xpeng
Xpeng เป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำเลยครับ แม้วอลุ่มจะยังไม่เท่า SAIC (MG) หรือ BYD แต่การเติบโตถือว่ารวดเร็ว และเทคโนโลยีในเชิง Autonomous Driving ก็นับว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของจีน
ผู้ก่อตั้ง Xpeng คือคุณ He Xiaopeng ซึ่งเคยเป็น Founder ของ UCWeb (ทำธุรกิจคล้ายๆ Chrome) UCWeb โดน Alibaba Takeover ไป He เลยไปเป็นผู้บริหาร Alibaba Mobile Business Division
ในปี 2017 He ออกมาก่อตั้ง Xiaopeng ร่วมกับ Xia Heng วิศวะรถยนต์ กับ He Tao เคยทำ R&D ในบริษัทรถยนต์ GAC มาก่อน
Investor ของ Xpeng ก็เช่น Alibaba Group, Foxconn, Xiaomi และ Sequotia Capital China ถ้า Nio คือบริษัทรถไฟฟ้าฝั่ง Tencent Xpeng คือฝั่ง Alibaba ครับ
ปัจจุบัน Xpeng มีรถ EV 3 โมเดลด้วยกันคือ
P7 - รถ Sedan 4 ที่นั่งขนาดเท่า Tesla Model S ในราคาถูกกว่า Model 3 เริ่ม Delivery กลางปี 2020 ที่ผ่านมา
P7 X-Wing – Version Premium ของ P7 (อารมณ์ Model S Plaid)
G3i - รถ SUV ที่เพิ่ง Facelift ไปและส่งรถในเดือนกันยายน 2021 แต่ G3 รุ่นเก่าขายมาตั้งแต่ปี 2019 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของ Xpeng
P5 - รถ Sedan 4 ที่นั่งขนาดเล็ก ราคาเทียบเท่ารถ ICE เลยถือว่าเป็นความหวังใหม่ของ Xpeng
Pxxx - รถ SUV ขนาดใหญ่รุ่นใหม่ที่มีข่าวลือว่ากำลังจะเปิดตัวตอนนี้มีการออกมา Test Drive แล้ว (เดาๆว่ากลางปีหน้าครับ G3i เพิ่ง Face Lift ไปคงไม่เปิดใกล้ๆตอนนี้ รูปตามด้านล่างเลยครับ)
Spec รถ ราคา และระยะทางการวิ่งตามด้านล่างเลยครับ ราคาเป็นราคาหลัง Subsidies ของเมืองจีนแล้วนะครับ
พอดูราคาตรงนี้จะเห็นว่ารถของ Xpeng ทั้งหมดราคาจับต้องได้มากๆ ต่างกับ Nio ที่จะมีความ Premium กว่า ทำให้ปัจจุบันแม้จะส่งมอบรถในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน แต่ Nio มีรายได้ที่สูงกว่า และอัตราการทำกำไรดีกว่า
กลยุทธ์การทำรถในตลาด Premium แล้วค่อยลงมาตลาด Mass เป็น Playbook เดียวกันกับที่ Tesla และ Lucid ใช้ครับ Xpeng ถือว่ามาแหวกแนวมากๆ เพราะเปิดมาพี่แกทำตลาด Mass เลย ผลก็คือขาดทุนมากกว่าเจ้าอื่นๆครับ
แต่การทำราคาต่ำๆของ Xpeng ก็มีข้อดี เพราะล่าสุด P7 รถ Sedan ระดับ Premium ของ Xpeng ขึ้นแท่นเป็นรองแค่ Tesla เท่านั้นในเมืองจีน แต่ยังไงก็ต้องติดตามดูเพราะเดี๋ยว Nio ก็น่าจะออก Sedan รุ่น ET7 มาเหมือนกันแต่ราคาน่าจะแพงกว่า Xpeng P7 เพราะเป็น Luxury ตลาดน่าจะไปชนกับ Tesla มากกว่า Xpeng?
รถรุ่นแรกของ Xpeng คือ SUV รุ่น G3 ที่ตอนนี้ Facelift เป็น G3i ในเดือนตุลาคม ยอดขายมาแรงมากๆ ตอนนี้ทุบสถิติ All Time High รายเดือนของบริษัทไปแล้ว เปลี่ยนหน้าตาให้ออกมาเหมือน P7 ทำให้ดูดีขั้นเยอะ จากของเดิมที่ไฟแหลมไปทาง Tesla
ระยะทางวิ่งของ G3i อยู่ที่ 460-520 km ใกล้เคียงกับ BYD Song เจ้าตลาดที่ราคาใกล้ๆกัน ดูใน 2-3 เดือนอาจจะมีลุ้นแซง BYD เป็น SUV ที่ขายดีอันดับหนึ่งของจีนก็เป็นได้
Product ล่าสุด ตัวเล็กสเป็กเทพ Xpeng P5 ความหวังสู่ Autonomous Vehicle ของ Xpeng ราคาถูกมากๆประมาณ 8 แสนบาท สูงกว่า BYD Dolphin ที่ราคา 6 แสนบาท ระยะทางวิ่งพอๆกันที่ 400-500 km แต่ของ Xpeng เพิ่มเงินอีก 2 แสนเป็นตัวท๊อป มี Lidar แถม Xpilot 2.5 ไปให้ใช้ฟรีอีกด้วย เรียกได้ว่า ราคาถูกแต่ Spec เทพ !!! เทพจนผมกลัวแทนนักลงทุนว่า Margin จะออกมาเป็นยังไงเนี่ย
ด้วยความที่ของมันดีขนาดนี้ทำให้ยอดจองของ P5 พุ่งทะลุอวกาศมากๆครับ ผมไปได้ข้อมูลจาก Reddit มาคือยอดจองของ P5 จัดไปมากกว่า 63,000 คันแล้ว แต่ก็นะค่าจองมันแค่ 99 หยวนถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ คือไม่เอาก็ทิ้งได้ง่ายๆ คงต้องดูว่าตอนส่งมอบได้จริงๆแค่ไหน
P5 ตัวนี้สามารถ Upgrade Xpilot 3.5 ตัวใหม่ที่มีระบบ Lidar ด้วยได้ตอนต้นปี 2022 เอามาใช้กับ P5 ตัวท๊อปที่มี Lidar ครับ
สิ่งที่ผมสะกิดใจนิดนึงตอนอ่านข้อมูลของ Xpeng คือ บริษัทพยายามเอา Lifestyle ของคนจีนมาใส่ไว้ใน Design และทำ Function ของรถ เราก็เลยได้เห็นอะไรแปลกๆเช่น การเอนเบาะนอนยาวๆ ดูหนังผ่าน Projector ในรถ ตู้เย็นแช่น้ำหลังเบาะ หลังคาโซลาร์ชาร์จไฟตอนวิ่งได้ จากที่ดูคลิปรู้สึกว่าบางอย่างการใช้งานมันน่าจะไม่ค่อยสะดวก แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะคนจีนอาจจะไม่คิดแบบผมก็ได้ครับ
สุดท้ายยอดขายรถเป็นยังไง? ตั้งแต่ P7 เปลี่ยนแบตเตอรี่เป็น LFP ก็ขายดีขึ้น G3i เปลี่ยนโฉมยอดก็เริ่มมา P5 ตอนนี้ก็เริ่มส่งมอบแล้วแต่ยังไม่ได้เห็นยอดอย่างมีนัยยะอาจต้องใช้เวลาซักพัก แต่ตอนนี้ Xpeng มียอดส่งมอบรถรวมๆเกินเดือนละ 10000 คันไปแล้ว แซงหน้า Nio ไปตั้งแต่เดือนกันยายน โดยตัวที่ยอดขายมาแรงมากคือ G3i ซึ่งเป็น SUV
Xpilot ไปถึงไหนแล้ว?
หลายคนอาจจะเห็น Xpev เป็นบริษัทรถไฟฟ้า แต่ผมว่าถ้าจะลงทุนในหุ้นรถไฟฟ้าตอนนี้ ต้องมองเผื่อไปรถยนต์ไร้คนขับแล้ว ตอนเลือกหุ้นมาดูผมเลยพยายามหาหุ้นที่มีการทำระบบ Autonomous ที่เริ่มใช้งานได้จริง และมีผลงานให้เห็นบ้างแล้ว
ถ้าใครเคยอ่าน Paper Tesla ของ Ark Invest จะเห็นว่ามูลค่าหุ้นของ Tesla นั้นมาจากธุรกิจรถยนต์เพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งมาจากธุรกิจ Robo Taxi ซึ่งการที่บริษัทรถจะทำ Robo Taxi ได้นั้นต้องทำระบบ Autonomous Driving ให้ได้ก่อน ดังนั้น Xpilot จึงเป็นปัจจัยสำคัญของหุ้น Xpev
แม้ตอนนี้ Xpilot จะยังตาม FSD ของ Tesla อยู่ ผมว่าอย่างต่ำๆน่าจะมี 2-3 ปี สิ่งที่คนที่อยากซื้อหุ้น Xpev ต้องรู้คือระบบ Autonomous Driving ของ Xpeng ค่อนข้างต่างกับ Tesla พอสมควรในหลายๆมิติ
1. Tesla พยายามใช้ Vision ให้มากที่สุด โดยพยายามใช้ Sensor อื่นๆให้น้อยที่สุด ด้วยเหตุผลว่า ถ้ามนุษย์สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัยด้วยการมี Input หลักคือภาพ Sensor อย่างอื่นน่าจะไม่มีความจำเป็นในระยะยาว เอามาใส่ไว้ก็มีแต่จะเปลืองแบตทำให้ระยะทางที่รถวิ่งได้ลดลง ข้อมูลที่ได้อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อความแม่นยำในการขับรถอัตโนมัติอย่างมีนัยยะ แถมยังเพิ่มต้นทุนของรถราคาสูงขึ้นด้วย
Tesla เลยมุ่งทำระบบ Image Recognition เทพๆแทนที่จะใช้วิธียัด Sensor เข้าไปเยอะๆ เน้นแบบ Lean มากๆ ข้อดีคือถ้าทำได้จะเป็น Big Win แต่ข้อเสียคือถ้าทำได้ไม่ดีพอระบบอื่นๆที่พึ่งพิง Sensor เยอะๆ ใช้ Lidar ในการประมวลผลด้วย อาจได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะสั้น ซึ่งวิธีหลังที่ยัด Sensor เยอะๆเนี่ยคือวิธีที่บริษัทรถยนต์ EV อื่นๆใช้กันรวมทั้ง Xpeng ด้วย
2. Tesla ทำ Chip ประมวลผลเอง และออกแบบ Architecture ให้เหมาะสมกับการทำงานในรถ Tesla เท่านั้น ทำให้การประมวลของ Tesla มีประสิทธิภาพสูงมาก ต่างกับบริษัทอื่นๆที่ใช้ Chip Set ของ Nvidia ซะเป็นส่วนใหญ่
ประเด็นคือ Chip และระบบของ Tesla ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้ดีประมาณนึง (แม้จะยังไม่ Perfect) ส่วนของ Nvidia อาจจะยังไม่มีของจริงให้เห็นมากนัก ตอนนี้เห็นเพียงตัวเลขการประมวลผลของ Chip ที่ดูเหมือนจะมากกว่าของ Tesla เยอะ แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้า Model กับ Architecture มัน Tailor made มาสำหรับรถ Tesla บางทีอาจจะไม่ต้องใช้พลังการประมวลผลมากมายก็ได้
3. ระบบ Xpilot ของ Xpeng จะใช้งานได้เฉพาะในพื้นที่ๆมี High-Resolution Map เท่านั้น ซึ่งต่างกับ FSD ของ Tesla ที่ไม่ได้อิงอยู่บน Map Elon Musk เคยบอกว่าถ้าต้องใช้ High-Resolution Map ในการทำ Autonomous Driving รถคันนั้นไม่ได้ Autonomous Driving ได้จริงๆ เพราะการที่จะทำ Autonomous Driving ที่แท้ทรูนั้น รถต้องขับเองได้ไม่ว่าจะมีแผนที่หรือไม่ และถ้าต้องทำแผนที่ก่อนทุกครั้งที่จะขยายบริการ Autonomous Driving จะทำให้ Scale ไม่ได้จริง (เพราะต้องไปนั่งสร้าง Map ก่อนนั่นเอง มันช้าและใช้เงินทุนเยอะเกินไป)
นี่เลยอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไม Feature NGP Navigated Guided Pilot ของ Xpeng ใช้ได้ต่อเมื่อขึ้น Highway ในเมืองจีนเท่านั้น แต่ก็อีกนั่นแหละคล้ายๆกับการใส่ Sensor เข้าไปเยอะๆ อาจจะเป็นการซื้อเวลาสำหรับบริษัทอื่นๆที่ยังทำระบบ Autonomous ที่แท้ทรูไม่ได้ พอทำได้ในช่วงหลังอาจจะค่อยเลิกใช้ หรืออีกมุมหนึ่งอาจจะเป็นวิธีการเข้าถึง Autonomous Driving อีกแบบที่เป็นไปได้เหมือนกันก็เป็นได้
สรุปคือตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าวิธีไหนถูก วิธีไหนผิด เพราะต้องดูที่ผลลัพธ์ว่าใครทำ Autonomous Driving ได้ดีกว่ากัน ในเบื้องต้น Tesla ดูได้เปรียบอย่างมาก และสิ่งที่ Elon พูดก็ดูมี Logic ที่ชัดเจน
เอาตรงๆผมดู Video NGP ของ Xpilot ก็ยังไม่ประทับใจอะไรมากเท่าดู Video FSD ของ Tesla ที่แม้ยังมีหลุดๆบ้างแต่ก็นับว่าทำอะไรได้เยอะกว่าเยอะ อาจจะเป็นเพราะ Xpeng มันยังคนใช้ไม่เยอะ และคนรีวิวส่วนใหญ่เป็นคนจีนน่าจะไป Post ใน Social Media จีน?
ปัจจุบัน NGP Penetration rate ของ P7 อยู่ที่ 60% หมายความว่าคนที่ใช้รถ P7 ใช้ NGP เมื่ออยู่ใน Highway ที่ใช้ได้ถึง 60% ของระยะทางการวิ่งทั้งหมด ระบบอาจจะยังไม่ได้ดีมากแต่คนเริ่มใช้เยอะ และใช้บ่อยถือว่าเป็น Sign ที่ดีสำหรับ Xpeng ครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่มีระบบไหนที่จะเป็น Full Self-Driving ที่ขึ้นรถไปแล้วนอนหลับได้เลย เป็น End-to-End Autonomous Driving น่าจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย
ใครอยากเห็นการใช้งาน NGP ไปดูคลิปนี้ครับ
FSD Beta ดูสองคลิปนี้
อย่างไรก็ตาม Xpilot จะมีการ Upgrade ครั้งสำคัญตอนต้นปี 2022 เป็น Xpilot 3.5 และ Xpilot 4.0 ในปี 2023 ซึ่งทาง Xpeng บอกว่าสามารถขับรถในเมืองได้เลย ดูในคลิปก็เหมือนจะใช้ได้ดีอยู่เหมือนกัน (Xpilot 4.0 น่าจะประมาณใกล้ๆ FSD ครับ
สุดท้ายผมอยากให้ทุกคนดูการเปรียบเทียบ Spec ของ Xpilot และ FSD ครับ ที่แน่ๆคือ Xpilot ถูกกว่าเยอะมาก ถ้าทำได้ดีคนใช้น่าจะเยอะ จะว่าไปตอนที่ FSD ยังไม่ใช้ได้แบบ 100% ถ้าคนซื้อเห็น Spec แบบนี้ในราคาถูกกว่าก็อาจจะเลือกเอาแบบ Sensor เยอะๆแล้วใช้แผนที่ไว้ก่อนก็ได้ เพราะมันดูปลอดภัยกว่า
สำหรับ End Consumer การไม่มี Sensor ไม่มี Lidar ไม่ใช้ High-Res Map อาจจะกลายเป็นข้อเสียที่ทำให้ Xpeng ดูดีกว่าใน Spec Sheet เพราะผมว่าคนทั่วไปก็ไม่เข้าใจหรอกว่าระบบ FSD ของ Tesla มันดียังไง Model เทพแค่ไหน
Xpeng Factory vs Gigafactory?
จุดสำคัญอีกจุดหนึ่งที่ผมอยากจะ Point Out สำหรับ Xpeng เลยคือเรื่องโรงงานผลิตครับ Nio ไม่ได้มีโรงงานเป็นของตนเอง Xpeng มีโรงงานเป็นของตนเองคือโรงงานหลัก Zhaoqing ที่ผลิต Xpeng P7 ส่วน G3 ผมเข้าใจว่าใช้โรงงานของ Outsource ผลิตให้
ประเด็นในตอนนี้คือ Xpeng Deliver รถเดือนละ 10000 คันแล้ว โรงงานที่ Zhaoqing มี Capacity ปีละ 1 แสนคัน ตอนนี้ Xpeng เลยประกาศเพิ่มกำลังการผลิตอีก 100,000 คันที่ Zhaoqing รวมเป็น 200,000 คันต่อปี
และเพิ่มโรงงานใหม่ใน Guangzhou กำลังการผลิต 100000 คัน โรงงานใน Wuhan 100000 คัน และ Chongqing (ยังไม่ Confirm)
กำหนดการเปิดของ Zhaoqing เฟส 2 และโรงงาน Guangzhou อยู่ปลายปี 2022 แปลว่าณ.ต้นปี 2023 กำลังการผลิตของ Xpeng จะเพิ่มจาก 100,000 คันเป็น 300,000 คัน หลังจากนั้นโรงงาน Wuhan ตามมาปลายปี 2023 แปลว่า 2024 ต้องมีกำลังการผลิต 400,000 คัน เติบโต 4 เท่าจากณ.ตอนนี้
ดูเหมือนโตเยอะนะครับ แต่ถ้าคิดดูดีๆตอนนี้จีนขายรถปีละ 20 ล้านคัน EV Penetration อยู่ที่ 15% อีก 2 ปีข้างหน้าอาจจะ 30% ได้ ถ้ายอดขายรถไม่โตเลยเท่ากับว่าตลาด EV ในจีนคือปีละ 6 ล้านคัน ถึงตอนนั้น EV น่าจะเป็น Norm ไปแล้ว Xpeng หนึ่งในผู้นำตอนนี้ถ้าผลิตที่ 4 แสนคันก็เท่ากับ 6.6% ของตลาดเท่านั้น
แล้วถ้ามี Scale ระดับนั้นผมเชื่อว่าบริษัทน่าจะเริ่มทำกำไรและอย่างน้อยๆน่าจะมี Cashflow ที่ Positive แล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วย Drive ราคาหุ้นได้ครับ
นี่ยังไม่นับรวมปัจจัยที่ว่าโรงงานบางโรงงานของ Xpeng เช่น โรงงาน Guangzhou เนี่ยคนออกเงินสร้างให้คือ Guangzhou GET Investment ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาล หลังจากนั้นจะปล่อยเช่าให้กับ Xpeng แลกกับสัญญาคือภายใน 7 ปี Xpeng ต้องซื้อโรงงานนั้นต่อจากรัฐบาลไปที่ราคาต้นทุน และให้รัฐบาลได้สิทธิในการเข้าถือหุ้นบางส่วนในบริษัท
นี่มัน Asset Light Model ชัดๆ ซื้อโรงงานใน 7 ปีไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถ้ารถขายได้ 7 ปีก็คืนทุนสบายๆไปถึงไหนแล้วครับ เงินทุนโรงงานที่ Elon Musk ต้องพยายามเลือดตาแทบกระเซ็นมาสร้าง รัฐบาลจีนมาช่วย Xpeng แบบชิวๆเลย ตรงนี้ผมว่าเลยเป็นแต้มต่อให้ Xpeng ได้เปรียบพอสมควรถ้าเทียบกับยุคที่ Tesla ต้องสู้ หาเงินมาต่อเงินแบบสมัยก่อน
ยังไม่นับรวมมูลค่าเงินลงทุนโรงงานของ Xpeng น้อยกว่า Tesla กว่าครึ่ง ! Gigafactory ใช้เงินลงทุนประมาณ 5 Billion แต่ Xpeng ใช้ประมาณ 2 Billion ใน Capacity ที่ใกล้เคียงกัน ผมเดาว่าที่ถูกกว่าเพราะเทคโนโลยีและเครื่องจักรในการผลิตน่าจะสู้ Tesla ไม่ได้
ดังนั้นโอกาสที่ Xpeng จะ Turn Cashflow Positive ได้เร็ว และเอา Effort ไปพัฒนาด้านอื่นๆเพื่อขึ้นเป็นผู้นำ EV ให้ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทุนมากและทำได้เร็วกว่าตอนที่ Tesla ทำในสถานะบริษัทใกล้เคียงกัน
แต่ข้อเสียคือระยะยาวๆไป จะสู้ Competitive Advantage และต้นทุนของ Tesla ไม่ได้ที่ควบคุมการผลิตทุกอย่างด้วย Efficiency สูงสุด และสะท้อนลงไปราคารถ EV ที่ถูกแต่คุณภาพยอดเยี่ยม
จุดเด่นและความแตกต่างในมุมอื่นๆของ Xpeng
โมเดลการขายเป็นการขายผ่านสาขาของบริษัท และตัวแทนจำหน่าย ต่างกับ Tesla ที่ขายตรงอย่างเดียว ปัจจุบันมี Experience Store 160 สาขา เป็นของบริษัท 72 สาขาที่เหลือเป็นแฟรนไชส์ และ Service Center 54 สาขาเป็นแฟรนไชส์ 51 สาขา
แบตเตอรี่ที่ใช้ Xpeng ใช้ของ CATL เริ่มใช้ LFP Battery และกำลังจะมี Supplier Battery ใหม่คือ SK Innovation จากเกาหลี
X-Power Supercharger ใหม่ของ Xpeng ชาร์จ 5 นาที วิ่งได้ 200 กิโล และชาร์จจาก 10% ไป 80% ได้ใน 12 นาที ปัจจุบัน Xpeng มี Supercharging station ของบริษัททั้งหมด 439 แห่ง ใน 121 เมือง แท่นชาร์จฟรี 1648 แห่งใน 221 เมือง คนซื้อรถ Xpeng คือชาร์จฟรีได้เลยที่แท่นชาร์จธรรมดา ในปีนี้จะมีแท่นชาร์จครบทุกเมืองในจีน ส่วนแท่นชาร์จ 3rd Party ตอนนี้มี 2 แสนกว่าแท่นชาร์จแล้วครับ เร็วจริงๆ
ปัจจุบัน Xpeng มีการขับรถบนระบบ Xpilot ไปแล้ว 109 ล้านกิโล มีการใช้ Assisted Parking ไปแล้ว 5.3 ล้านครั้ง ถือเป็นตัวเลขที่พิสูจน์ได้ประมาณนึงว่าระบบ Xpilot นี่ใช้ได้จริง
ในส่วนของ Battery Tesla ใช้ Supplier คือ LG Panasonic และ CATL ส่วน Xpeng ใช้ CATL และกำลังเจรจากับ SK Innovation ของเกาหลีเพื่อ Supply Battery ให้ Xpeng ครับ
งบการเงินของ Xpeng
Definition สั้นๆ ยังห่างไกลจากกำไร TT แม้รายได้จะเติบโตดี และโตอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยกลยุทธ์ของ Xpeng ที่เล่น Mass เลยตั้งแต่เริ่มต้น เลยขาดทุนยับ แต่จุดดีคือผมเดาว่าการขาดทุนยับแบบนี้น่าจะถึงจุด Bottom แล้วถ้ามองไปข้างหน้าในอีก 1-2 ปี Xpeng น่าจะเริ่มเข้าสู่จุดที่มีการ Deliver รถใน Scale ที่มากจนเริ่มมีกำไรที่ดีขึ้น และน่าจะเห็น Operating Margin เริ่มขยับเข้าใกล้แดนบวกมากขึ้นครับ
รายได้มีการเติบโต 536% ตัวเลขดูเยอะเพราะเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้วซึ่ง P7 ยังไม่ได้เริ่มส่งมอบครับ ไตรมาส 3 ปี 2021 งบน่าจะออกมาเติบโตมากกว่า 100% ขึ้นไปเพราะมีการส่งมอบรถเยอะขึ้นมาก เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2020 ส่วนไตรมาส 4 2021 ไปจนถึงไตรมาส 3 2022 ยอดขายน่าจะโตได้ไม่มากเท่าไหร่แล้วเพราะกำลังการผลิตของโรงงาน Zhaoqing น่าจะเต็มไม่ก็ปริ่มๆมาแล้ว
ดังนั้นตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้านี้ผมว่าปัจจัยที่จะ Drive ราคาหุ้นไม่ใช่งบการเงินแต่จะเป็นผลตอบรับของการออกรถรุ่นใหม่ๆ ความสำเร็จของ Xpilot 3.5 ยอดขาย ยอดจองรถเพิ่มเติมในแต่ละเดือน Development ของบริษัทมากกว่า และการขึ้นราคารถ??? เพราะตอนนี้ Supply รถจากฝั่ง ICE ค่อนข้างตึงมากจากปัญหา Chip Shortage Tesla มีขึ้นราคาไปบ้างแล้ว ส่วน Xpeng ยังไม่เห็นการขึ้นราคา แต่ถ้ากำลังการผลิตตึงๆอยู่แบบนี้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเห็นการขึ้นราคาก็ได้ครับ
ปัจจุบัน Xpeng มี Gross Profit Margin อยู่ที่ราวๆ 12% ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา การส่งมอบรถอยู่ที่ 5000-6000 คัน ไตรมาส 3 นี้ส่งมอบรถที่ 8000-10000 คันเราน่าจะเริ่มเห็น GPM ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และ Maintain ประมาณนี้ไปจนถึงปีหน้า ถ้าจะเทียบ Peer LI Auto น่าจะใกล้เคียงสุด LI ตอนนี้มี GPM ในระดับ 18% ได้ ดังนั้นของ Xpeng ก็อาจจะอยู่แถวๆ Range 13-15% ได้อยู่
ซึ่งถ้า GPM ดีขึ้นก็จะส่งผลกระทบไปถึง OPM ด้วยซึ่งก็ต้องไปลุ้นว่าไตรมาส 3 SG&A กับ R&D ของ Xpeng จะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน ถ้า Maintain ระดับเดิมหรือเพิ่มไม่มาก เราจะได้เห็น Bottomline ที่ดีขึ้นเยอะ แต่ยังขาดทุนอยู่นะ หวังมีกำไรอาจจะต้องอีก 2-3 ปี ตอนเปิดโรงงานใหม่ วอลุ่มน่าจะเพียงพอที่จะทำให้บริษัทมีกำไรครับ
ความเสี่ยงของ Xpeng
Subsidies ของจีนน่าจะหมดในปี 2022 อันนี้เป็นดาบสองคม ข้อดีคือคนที่ยังไม่ซื้อรถไฟฟ้าอาจจะต้องรีบซื้อเพราะเดี๋ยวไม่ต่อ Subsidies ขึ้นมาราคาแพงขึ้นอีกราวๆแสนนึง แต่ในอีกมุมหนึ่งหลัง Subsidies ราคารถ EV ในจีนจะแพงขึ้น บริษัทไหนยังไม่มี Scale เพียงพอในการผลิตให้ต้นทุนมันถูกอาจจะต้องเหนื่อยหนัก Nio Xpeng Li Auto BYD ไม่น่าเป็นอะไร รายเล็กๆน่ากังวล
ถ้ากำลังซื้อรถจีนดีขนาดนี้เดี๋ยว Giga Factory ก็ต้องขยายเพิ่ม ถ้า Tesla Model 2 มา ผมว่า P5 น่าจะเหนื่อย Tesla ขยายกำลังการผลิตยังไงก็ขายได้ ส่วน Xpeng ยังไม่ถึงระดับนั้น จะเพิ่มกำลังการผลิตแบบรัวๆก็เสี่ยง
ปัจจุบัน Xpeng ยังอยู่ได้ด้วยการช่วยเหลือของรัฐบาลจีน ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยไปถึงจุดไหน แล้วจุดไหนที่จะหยุด เมื่อก่อนเวลาจีนจะส่งออกของไปไหนมักจะเน้นบริษัทในจีน แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปต้อนรับต่างชาติให้มาใช้จีนเป็นฐานการผลิตมากขึ้น ดังนั้นการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด EV นี่เข้มมากๆเลยขอบอก
ระบบ Autonomous ที่อิงอยู่กับแผนที่ High-Res และการอัด Sensor เข้าไปช่วยเยอะๆ ระยะสั้นคงช่วยได้แต่ระยะยาวอาจจะกลายเป็นภาระ เพราะจะทำให้โมเดล AV สู้ Tesla ไม่ได้เลย แถม Scale Autonomous Driving ไม่ได้ด้วย
ในช่วงต้นของบทความผมอิง Value ของหุ้นรถ EV จากที่ Ark Invest ทำซึ่งมันรวม Robo Taxi และผมก็รู้สึกว่า Robo Taxi มันคือไฟลต์บังคับ สิ่งที่จำเป็นมากๆในการ Achieve True Self-Driving เพราะมันจะช่วยให้ Model พัฒนาอย่างก้าวกระโดด Taxi ขับกันวันนึงหลายร้อยโล รถบ้านขับวันละ 20 กิโล ข้อมูลที่ได้มันต่างกัน แล้ว Xpeng บอกว่าไม่มีนโยบายทำ Robo Taxi นั่นหมายความว่าระบบ Autonomous ทำยังไงก็สู้คนที่เอารถไปทำ Robo Taxi ไม่ได้ ยังไม่รวมถึง Volume มหาศาลที่จะช่วยในเชิง Cost Saving ของการผลิตรถ แบตเตอรี่ และ Power Train at Scale ยังไม่รวมถึงถ้าไม่ทำ Robo Taxi ก็ไม่ควรได้ Value ในเชิง Valuation จาก Robo Taxi ซึ่งทำให้ Value ในอนาคตจะหายไปครึ่งนึงเลยทีเดียว แล้ว Xpeng จะกลายเป็น OEM รถไฟฟ้าที่มีระบบ ADAS ดีระดับนึง ซึ่งมันต่างกับบริษัทที่มี True Self-Driving
หลังๆจีนหันมาสนับสนุนให้บริษัท EV ส่งออกต่างประเทศ การที่ระบบอิงอยู่กับ High-Res Map ยิ่งทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่รถจีนจะสู้กับ Tesla ในตลาดต่างประเทศ
ความเสี่ยงทั้งหมดนี้กระทบมากที่สุดคือการ Production at Scale ตลาด EV ในอนาคตคือคอมพิวเตอร์มีล้อ ที่วิ่งได้เอง การทำ R&D โหดๆจึงสำคัญมาก การที่บริษัท(เหมือนจะ)ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการผลิต และยังทำธุรกิจบนโมเดลเดิมๆ น่าจะทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทในอนาคตเสื่อมลง
ด้วยความเสี่ยงทั้งหมดนี้ทำให้ผมมอง Xpeng ใหม่ และรู้สึกว่า Value ที่บริษัทได้รับไม่ได้ถูกมากอย่างที่คิด แต่การที่บริษัทจะสามารถมีกำไร และมีกระแสเงินสดที่เป็นบวกได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้ายังทำให้ผมคิดว่าหุ้นตัวนี้ยังน่าสนใจ ในฐานะผู้ผลิต EV จีนรายใหญ่ของโลก แต่การที่จะได้ Value แบบ Tesla ได้ ด้วยสถานะปัจจุบันบอกเลยว่ายากมาก ด้วย Pace แบบนี้ยังไงก็ยังตาม Tesla อยู่อย่างน้อย 2-5 ปี ครับ
ดังนั้นถ้าใครอยากเล่นหุ้น Xpev ต้อง Keep-in-Mind ว่าเกมนี้ไม่ใช่เกมของการเลือกหุ้นผู้ชนะที่ดีที่สุด แต่เป็น Growth เกม ของการเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตจนพื้นฐานณ.ปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะ + Momentum + Hype ของตลาด EV ที่น่าจะเป็นตัวผลักดันให้ราคาหุ้นสูงกว่าที่เป็นอยู่ครับ
สุดท้ายอย่าลืม Subscribe สมัครสมาชิกฟรี ! ในตอนนี้เพื่อรับบทความ Tech Research หุ้นเทคโนโลยี ตรงเข้า Inbox ในอีเมลล์เลย ไม่พลาดทุกบทความแน่นอน !
ผมมอง Xpeng วางตัวเป็น Toyota ใน ศตวรรษต่อจากนี้ เนื่องจาก เขาลงเล่นตลาด กลางๆ เน้นส่งออก ยัด option ในขณะที่ราคาถูก ไม่แพงเกินไป ตรงนี้ตรงกับนโยบายจีนเรื่อง Made in China 2025 เลยครับ
เพื่อนๆ ฝั่งยุโรป ชอบรถกลุ่มนี้ NIO XPENG มากกว่า Tesla อย่างเห็นได้ชัดครับ แต่ผมสำรวจจาก กลุ่มคนใกล้ตัวมากกว่านะครับ ไม่ใช่สถิติที่ถูกต้องซะทีเดียว
พอเรามามองในมุม Map ผมมองว่าคุ้มค่ากว่าไม่ใช้ครับ เนื่องจาก ตามธรรมชาติของเรา ถ้าที่ไม่คุ้นเคย หรือ กันดาร เรามักจะขับเองเสมอ ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหา (สมัย Elon เขามาเร็วไปไม่สามารถที่จะรอ ทั้ง Lidar and High Map มากกว่าครับ) ตรงส่วนตัว Tesla ดีมากๆ แต่ถ้าชนะในจีนผมขอรอดูอีกสักสองสามปี
ถ้าประเทศ ที่ไม่มี Map ครบ ส่วนมาก รถจีนที่ส่งออกจะเป็นรุ่นธรรมดา มากกว่า ไม่ค่อยลงมาตีตลาดเร็วๆนี้ครับ เขาน่าจะไปตามประเทศ ที่ พร้อมก่อน ส่วนประเทศไม่พร้อม มีรุ่นลองลงมา เพียบเลยในจีน ที่ไม่ Autonomous car
ผมมอง EV car ในจีนเหมือนคุณเลยครับ ต่อให้แข่งกันแรง ก็เหลือพื้นที่โต ถ้ามองผู้ชนะ มองไม่ออกเลยจริงๆ แต่ EV Car จะไม่ใช่ อุตสาหกรรมWinner take all แน่นอนครับ
ขอบคุณสำหรับบทความที่ดีมากๆครับ