หุ้น BYD บริษัท EV รุ่นใหญ่ ที่กำลังจะโตเร็วไม่แพ้ Start-Up ธุรกิจ EV-as-a-Service สำหรับรถทุกแบรนด์ [Deep Dive]
ตั้งแต่ผมเรื่มศึกษาหุ้น EV และ Ecosystem ของ EV ผมยิ่งรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆว่าจริงๆแล้วหุ้น EV ที่เราเคยรู้สึกว่ามันแพง และขึ้นมาเยอะแล้ว ยังมีโอกาสอีกมากพอสมควรเลย แต่จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่หุ้นแต่ละตัวไป
แต่ที่ผมรู้สึก Amazing มากกว่านั้นมากคือนอกจาก Elon Musk แล้วมีคนๆนึงเห็นโอกาส EV ตรงจุดนี้ตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้วนั่นคือ Warren Buffett ครับ !
Warren Buffett ลงทุนในหุ้น BYD ตั้งแต่ปี 2008 หลัง Elon Musk ลงทุนใน Tesla เพียง ปีเท่านั้น คนนึงลงมือทำให้มันเกิด อีกคนนั่งเฉยๆรอมันเกิด เรียกได้ว่าเป็น 2 วิธีที่แตกต่างกันแต่ได้ดังค์เหมือนกัน 555 Elon ทำให้มันเกิดได้ตังค์เยอะหน่อย
ปัจจุบัน Berkshire ถือ BYD อยู่ประมาณ 7.8% บริษัทของ Charlie Munger ชื่อ Daily Journal, Himalaya Capital ของ Li Lu พื่อนรักชาวจีนของ Charlie Munger และ ARK Invest ถือหุ้น BYD อยู่เช่นกัน เรียกว่าตัวนี้รวมดาวเลยทีเดียว
อะไรทำให้นักลงทุนระดับโลกมารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมายขนาดนี้? มาดูกันครับว่า BYD น่าสนใจอย่างไร?
ความน่าสนใจของหุ้น BYD
บริษัทรถยนต์เดียวที่ทำธุรกิจ Full-loop ตั้งแต่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ - แบตเตอรี่ - ตัวถังรถ - ไปจนถึงยางรถยนต์
BYD ผลิตและขายรถ EV เป็นเบอร์ 2 ของโลก รองจาก Tesla และมีการส่งออกรถไปนอกประเทศจีนแล้วอย่างมีนัยยะ
ปีหน้า Tesla จะขายรถได้ 1.5 ล้านคัน BYD จะขายได้ประมาณ 1.2 ล้านคัน 6 แสนคันจะเป็นรถ BEV
นอกจากธุรกิจรถแล้ว BYD ผลิตแบตเตอรี่เป็นเบอร์ 2 ของจีนเช่นกัน รองจาก CATL
กำลังจะ Spin-off ธุรกิจ Semiconductors
Blade Battery ของ BYD ถือเป็น LFP Battery ที่มีอนาคตมากๆปลอดภัยสูง
ถ้าให้ผมเดาว่าจะมีบริษัทไหนติด Top 5 รถ EV โลกบ้างผมเดาว่า BYD มีโอกาสสูงมากๆครับ
Potential Partner ของ Apple Robotaxi BYD ผลิตรถให้ การ Partner กับ Didi ในตลาด Ride-Hailing เป็น Supplier Battery ให้ Toyota
การเติบโตระยะยาวของเทรนด์ EV ที่ชัดเจนขึ้นมาก
จีนมี Adoption ของรถไฟฟ้าสูงถึง 20% แล้ว
Guochao Made by American เวอร์ชั่นจีน ที่ทำให้เกิดกระแสชาตินิยม และมองสินค้าของจีนว่าคุณภาพดีเยี่ยม (ซึ่งหลายๆสินค้ามันก็เป็นจริงนะ)
ดูสิ่งที่ทำให้ผมสนใจ BYD แล้วมาดูสิ่งที่ทำให้ผมเคยคิดว่า BYD ไม่น่าสนใจด้วย 5 ประเด็นด้วยกัน
รถ EV ที่หน้าตาเป็น ICE คงไม่มีใครอยากได้ แต่เอาจริงๆมันขายได้แฮะ ด้วยราคาที่ถูกและความปลอดภัยที่สูง รถ BYD ไม่เคยมีข่าวไฟไหม้เลยครับ (ในปี 20011 Elon Musk เคยหัวเราะกับหน้าตาของรถ BYD อยู่ครับ เลยทำให้ Elon ไม่คิดว่า BYD คือคู่แข่ง แค่เอาตัวให้รอดในจีนให้ได้ก่อนก็ยากแล้ว ...ประมาณนั้น
บริษัทไม่ได้ทำ EV Pure เวลาผมเลือกหุ้นผมมักจะ Prefer Pure-Play มากกว่า BYD เลยตกไปเพราะรายได้จากการขายรถแค่ประมาณครึ่งเดียว
แถมครึ่งเดียวที่ว่านั่นยังไม่ใช่ EV ทั้งหมดด้วย เคยเข้าใจว่าเป็น Hybrid และ ICE ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่พอมาดูข้อมูลล่าสุดผมก็เปลี่ยนความคิด เพราะตอนนี้ BYD เป็น EV ไปแล้วครึ่งนึง ถือว่าบริษัทปรับตัวและ Ramp Up Production ได้เร็วมากๆแบบเกินคาด (ดูที่กราฟด้านบนก็พอจะเข้าใจ Feel ครับ)
BYD ดูไม่ได้เน้น Autonomous ทำให้โอกาสที่จะมีรายได้ Software แบบ FSD ของ Tesla หรือ Xpilot แบบ Xpeng ยาก แต่พอมาศึกษา BYD ลึกๆเจอว่า BYD มีทำ Autonomous Driving BUS แล้ว และมีการ JV กับบริษัทที่ทำเรื่อง Autonomous Driving เช่น Momenta แถมยังมี JV กับ Didi ทำให้ผมมาคิดใหม่ว่าแม้ตอนนี้ยังชัดมาก แต่ก็ถือว่ามีลุ้นนะ แถมหลายๆแบรนด์ก็ทำ ADAS กันมากขึ้น Resource BYD ไม่แพ้ใคร น่าจะเห็นผลงานเข้าซักวันแหละ
BYD มีธุรกิจรถ ICE และ Hybrid เยอะ น่าจะทำให้ต้องเสียเวลาและเงินกับการเปลี่ยนผ่านเยอะพอสมควร แต่พอมาดูตัวเลขการ Ramp Up EV แล้วรู้สึกเลยว่า BYD เก่งกว่าที่คิด
BYD ทำอะไร?
BYD หรือ Build Your Dream ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 และเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในปี 2002 ใช้เวลา 7 ปีเท่านั้น ผู้ก่อตั้ง BYD คือ Wang Chuanfu ที่ตอนนี้ยังคงถือหุ้น BYD อยู่ 17.95% Wang Chuanfu จบด้านเคมีมา เขาเริ่มต้นด้วยการทำงานกับหน่วยงานราชการของจีน ก่อนลาออกมาตั้งบริษัททำแบตเตอรี่แข่งกับการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น
หลังจากนั้น BYD ได้ Takeover บริษัท Tsinchuan Automobile และเปลี่ยนเป็น BYD Automotive เริ่มธุรกิจรถในปี 2003 และกลายเป็นบริษัทรถยนต์อันดับ 6 ของจีนในปี 2010 นอกจากรถยนต์ BYD ยังทำรถบัส รถบรรทุก รถราง รวมไปถึงการผลิตยางรถยนต์เองด้วย
นอกจากธุรกิจรถยนต์ก็มีธุรกิจรับจ้างผลิตชิ้นส่วนของมือถือและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น iPad
รายได้ของ BYD แบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ
ธุรกิจ Automotive ทำทั้งรถ ICE / Hybird / BEV / รถบัส / รถราง สัดส่วน 43%
ธุรกิจผลิตและประกอบชิ้นส่วน Electronics สัดส่วน 48%
ธุรกิจแบตเตอรี่ และ แผงโซลาร์เซลส์ 8%
*ข้อมูล 1H21
ธุรกิจ Automotive ของ BYD
หลักๆแล้ว BYD มีรถ Passenger อยู่หลักๆทั้งหมด 6-7 โมเดลด้วยกัน ตั้งชื่อตามราชวงศ์จีน (ตลกๆดีเหมือนกันนะผมว่า ลองนึกภาพรถผลิตในไทยตั้งชื่อรุ่นว่า "อู่ทอง" หรือเกาหลีตั้งชื่อรุ่นรถว่า "โชซอน" ไรเงี้ย 555)
โดยรถของ BYD ทั้งหมดจะสามารถเลือกได้ว่าจะเอา Hybrid หรือ BEV
Han - Mid-size Luxury Sedan ราคาประมาณ 226000 RMB ++ ($35000) ตัวนี้ได้ IF Design Award จากเยอรมันด้วยครับ
Qin - Compact Sedan ราคา 169000 RMB ++ ($26000)
Song - รถ Compact SUV (ขับเมืองไทยอาจจะโดนเพื่อนล้อว่าเฮียซ้งมา !!!) โดยรุ่นนี้มี Song Max ที่เป็น Compact MPV ด้วย ราคา 179000 RMB ++ ($28000)
Tang - SUV อีกรุ่นใหญ่กว่า Song หน่อย มีความน่าสนใจคือรุ่นนี้เอาระบบไปใช้กับรถ Denza X ที่ JV อยู่กับ Mercedes ด้วย รุ่นนี้เป็นรุ่นเดียวที่ยังมี Option ICE ขาย ราคา 280000 RMB ++
Yuan - รถ Subcompact SUV รุ่นเดียวที่มีเฉพาะ EV Version เท่านั้น ราคา 80000 RMB ++ ($12500)
Dolphin (EA1) - รถ Subcompact Hatchback รุ่นล่าสุดที่เปลี่ยนทุกอย่างใหม่หมดแม้แต่โลโก้แบรนด์ มีเฉพาะรุ่น EV ให้เลือกเท่านั้น ราคา 100000 RMB ++ ($15700) วิ่งได้ประมาณ 300-400 โล ประกัน 6 ปี 150,000 โล
R2 - รถ Sport ปีกนกซึ่งมีข่าวลือว่ากำลังจะ Launch ออกแบบโดยดีไซเนอร์จาก Aston Martin
ในมุมของการ Scale Up Production ต้องถือว่า BYD ทำได้เกินคาดมากๆต้นปีขายรถ EV อยู่หลัก 10000 คัน ปลายปีกลายเป็น 40000 คัน เกือบๆจะเทียบเท่ากับรถ Hybrid และ ICE ที่ขายแล้วเลย
ตัวเลขการส่งมอบรถระดับนี้ยังถือว่ามากกว่า EV Trio อย่าง Xpeng LI และ NIO ในระดับ 10000-15000 คันต่อเดือน และถ้าดูตัวเลขยอดขายรถ BEV แบ่งด้วย Model รถในเดือนพฤศจิกายน BYD Qin+ ติดอันดับ 3, BYD Han ติดอันดับ 4 BYD Dolphin ที่เพิ่งออกติดอันดับ 7 รถของ BYD เป็นรองแค่เพียง Hongguang Mini EV และ Tesla Model Y
Source: Twitter @moneyball
รถที่ขายได้มากที่สุดของ GWM คือ Ora R3 (aka. Good Cat) ขายได้เพียง 8855 คัน ที่ตามๆมาคือ GAC, Hozon, JAC-VW, Dongfeng, Cherry, Chang An แบรนด์ที่ขายดีในบ้านเราอย่าง MG (SAIC) ไม่ติดอันดับ Top 20 ด้วยซ้ำไป ส่วน SAIC ถ้าไม่ได้ Hongguang ที่ JV กับ GM ก็คือแทบไม่มียอดขาย BEV เลย
ดังนั้นถ้ามองกันตามยอดขายรถต้องถือว่า BYD นี่แหละคือผู้นำรถ EV ตัวจริงของเมืองจีน .... เวลาดูต้องอย่าสับสนกับยอดขาย NEV ที่ประกาศนะครับ เพราะ NEV คือ New Vehicle Energy รวมยอดขายของ Plug-in Hybrid (PHEV) และ Fuel Cell Electric Vehicles (FCEV) เข้าไปด้วย PHEV ยังใช้น้ำมันเป็นหลักอยู่ครับ เฉพาะแบตเตอรี่ส่วนใหญ่จะวิ่งได้ไม่ถึง 100 km ดังนั้นอย่าไปนับเป็น EV เลยครับ
และสาเหตุอะไรกันนะที่ทำให้คนจีนซื้อ BYD กันถล่มทลาย? จุดเด่นคืออะไร? อะไรที่ยังด้อยอยู่ มาดูกันครับ
จุดเด่นของรถ BYD
ราคาจับต้องได้ EV คุณภาพดี ราคาเหมาะสมน่าจะเป็นจุดเด่นของ BYD เลยทีเดียว ด้วย Range ที่ค่อนข้างดี เช่น BYD Han วิ่งได้ 550-600 โล ในราคาเริ่มต้น 1.1 ล้าน พอๆกับ Toyota Camry เลย
หน้าตาไม่ขี้เหร่แล้ว หลังจากได้ Head of Designer จาก Audi Wolfgang Egger มาเป็น Design Director รถของ BYD ก็เริ่มดูหน้าตาดีขึ้น แม้จะยังมีอะไรแปลกๆอยู่บ้างเช่น โลโก้รุ่นรถที่เป็นภาษาจีน หรือคำว่า Build Your Dream แบบใหญ่โคตรๆอยู่หลังรถ แต่ก็นับว่าเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น
แบตเตอรี่ที่ปลอดภัยที่สุดในอุตสาหกรรม (ในมุมผมนะ) Blade Battery ของ BYD เป็น LFP Battery ทีมีความปลอดภัยสูงกว่า LFP ของที่อื่นมากๆ (ต่างยังไงเดี๋ยวอธิบายให้อ่านอีกครั้งครับ)
การเป็น Vertical Integrated Company ที่ผลิตหลายๆอย่างเอง ทำให้ขายราคาถูกแต่ยังกำไรดี (Gross Profit Margin ของธุรกิจรถ 20-25%)
เป็นแบรนด์ที่คนจีนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แทบไม่ต้อง PR
ข้อเสียของรถ BYD
ยังห่างไกลจากคำว่า Electric Car of the Future ได้เรื่อง Electric car แล้วแต่คำว่า Of the Future ยังไม่แน่ ผมยังไม่เห็น Autonomous Tech Showcase เจ๋งๆจาก BYD เลย เห็นแต่ Manufacturing Tech คือมั่นใจแล้วว่า BYD Scale ได้ จัดการต้นทุนอยู่ Performance ของรถดี คุณภาพอันดับต้นๆของจีน
รู้สึกว่า BYD ยังเป็นรถ EV ที่มีแนวความคิดแบบดั้งเดิมอยู่เล็กๆ บริษัทเลยเน้นพัฒนาเรื่องการผลิตและ Performance ของรถเป็นหลัก แต่ในอนาคต Key ของการซื้อรถ EV อาจไม่ได้แข่งกันที่ใครวิ่งไกลกว่ากัน หรือใครถูกกว่ากัน แต่แข่งกันที่รถใครฉลาดกว่ากัน
ดังนั้นถ้าดูคลิปรีวิวหลายๆที่จะเห็นว่าการออกแบบภายใน การใช้งานบาง Use case ยังแปลกๆ หรือระบบ Infotainment ที่เห็นชัดๆเลยว่า Lag ไม่ Smooth
อย่างไรก็ตามธุรกิจรถ EV ของ BYD ยังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีข่าวว่าจะออกแบรนด์ใหม่เป็นรถหรูในระดับ Luxury โดยขายในราคา 1000000-1500000 RMB ราวๆ ผมไม่ห่วงเรื่องคุณภาพรถเลย ห่วงเรื่องแบรนด์มากกว่า คิดว่า BYD ทำได้แต่คงต้องใช้เวลา ก่อนหน้านี้ก็เหมือนมีลองเชิงไปแล้วด้วยการ Partner กับ Daimler เจ้าของ Mercedes Benz ทำแบรนด์ Denza EV ซึ่งออกมาแปลกเหี้* เหี้* ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมขายไม่ออกจน Daimler เคยออกมาบอกว่ากำลังพิจารณาเลิกทำ ก็ไม่รู้ว่ารอบนี้จะเป็นยังไง
ตีตลาดรถหรูยังไม่เห็นภาพ แต่ตีตลาดรถ Compact ราคาถูก อันนี้เห็นชัดเลย จาก BYD Dolphin รุ่นใหม่ที่ออกมา ดูรีวิวชัดๆที่คลิปนี้ครับ
BYD Dolphin ว่าที่รถมหาชนที่คนทั่วโลกใช้กัน The Poor man's Tesla
เอาจริงๆ Tesla ก็ไม่ได้ราคาแพงนะ ผมเชื่อว่ายาวๆ BYD น่าจะทำราคาแบบโหดมากๆใน Spec ที่ใช้งานได้ดีแต่ไม่ถึงกลับอลังการ ผมเองไม่ได้ชอบการออกแบบของ BYD เลย แต่ที่ผ่านๆมาก็พิสูจน์แล้วว่าถึงของที่เราไม่ชอบเพราะมันไม่สวยถูกใจ แต่มันถูกใจคนอื่นๆแล้วคุณภาพดี ราคาจับต้องได้ สุดท้ายมันก็ขายดี ยิ่งในตลาดจีนที่ 1 ปีขายรถยนต์ตั้งปีละ 20 ล้านคัน การที่ BYD Dolphin จะขายได้ปีละ 1-2 แสนคันนี่ไม่ยากเลยครับ ยิ่งมี Subsidies จีนเหลือคันละ 4.3 แสนบาท อันนี้คนเข้าถึงมากๆ เลยส่งผลให้ยอดส่งมอบรถของ Dolphin กระฉูดตั้งแต่ออกเลย
สค. 2021 - 1755 คัน
กย. 2021 - 3000 คัน
ตค. 2021 - 6018 คัน
พย. 2021 - 8809 คัน
ธค. 2021 - 10000 คัน??? โอกาสที่จะพุ่งเยอะๆมีมากเหมือนกันครับ เพราะถ้าข้ามปีไป Subsidies ของจีนจะลดลงคนคงรีบมาซื้อกันก่อนรับ Subsidies
BYD Dolphin ถูกสร้างขึ้นมาจาก e-platform 3.0 ของ BYD ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่ม Performance, ลดการใช้พลังงาน และขนาดของระบบลง ดังนั้นน้ำหนักจึงเบาขึ้น และวิ่งได้ไกลขึ้น Dolphin ตัวเริ่มต้นใช้แบบ 30 kWh วิ่งได้ที่ 300 โลต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ถ้าเป็นตัวท๊อปที่ใช้แบต 44 kWh จะวิ่งได้ 400 โล ซึ่งเหลือๆสำหรับการใช้งานในเมือง Wolfgang Egger Design Director ของ BYD พูดถึง Dolphin ว่า "ไม่ได้เป็นแค่รถแต่เป็น Future Mobility in the City"
ถ้าเทียบกับ Ora Good Cat ที่ใช้แบต NMC 63 kWh วิ่งได้ 500 โล ถือว่าแบตของ BYD ได้ระยะทางมากกว่าเกือบๆ 20%
e-Platform 3.0 คือการออกแบบตัวถังรถให้ Integrate เข้ากับ Blade Battery ซึ่งถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของรถควบคู่กันไป อันนี้แนวทางคล้ายๆ Tesla เหมือนกันที่พยายามออกแบบให้ Battery เป็นส่วนหนึ่งของตัวรถไปเลย
BYD บอกว่า e-platform 3.0 จะใช้กับรถรุ่นอื่นๆในอนาคต สามารถทำความเร็ว 0-100 km/h ได้ภายใน 2.9 วินาที และมีระยะทางการวิ่งสูงถึง 1000 km ชาร์จ 5 นาที ได้ระยะวิ่ง 150 โล (เทียบกับ Xpeng P9 ที่ชาร์จ 5 นาทีได้ 200 โล)
ปัจจุบัน BYD มีการส่งออกรถไปหลายประเทศอยู่แล้ว BYD Dolphin เองก็กำลังถูกส่งออกไปขายต่างประเทศในช่วงต้นปี 2022 ผมมองว่าด้วยจุดเด่นเรื่อง Battery และราคาที่ไม่แพง จะทำให้ BYD ได้เปรียบมากๆ และจะเป็นตัวเปิดทางให้รถรุ่นอื่นของ BYD ด้วย ปัจจุบันก็มีขายอยู่แล้วนะครับแต่ไม่มาก ซึ่งจุดเนี้ยเป็นจุดที่ผมว่า BYD ต่างกับ NIO และ Xpeng ที่เพิ่งเริ่มส่งออก
ทั้งหมดทั้งปวงที่ BYD ทำได้ณ.วันนี้ผมว่าความสำเร็จชิ้นใหญ่มาจากความสำเร็จของ Blade Battery เลย ดังนั้นต้องเจาะลึกถึง Blade Battery ซักหน่อยครับ
Blade Battery เทพเจ้าของวงการแบตเตอรี่ (ในมุมความปลอดภัยและความคุ้มค่า)
จริงๆแล้ว Blade Battery ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่มาก เคมีที่ใช้ก็ใช้ LFP ปกติทั่วๆไปแบบแบตเตอรี่รถธรรมดา ประเด็นมันอยู่ที่ว่าก่อนหน้านี้แบตเตอรี่รถไฟฟ้าหันไปใช้ NMC (NCM) ที่มี Energy Density สูงกว่า Performance ดีกว่า ระยะเวลาการชาร์จเร็วกว่า
แต่ข้อเสียคือ NMC Battery มีอายุการใช้งานที่ต่ำ NMC Battery ชาร์จได้ 500-1000 Cycles ก่อนกำลังแบตจะลดลงไปเหลือ 80% ในขณะที่ LFP Battery ชาร์จได้มากถึง 2500-3000 Cycles ก่อนกำลังแบตจะลดลงไปเหลือ 80% นั่นหมายความว่าอายุการใช้งานของ LFP Battery จะมากกว่า NMC Battery ถึง 4 เท่า
3000 Cycle ถ้า Cycle ละ 500 โล ก็วิ่งได้ถึง 1,500,000 โลเลยทีเดียว เป็น Battery ที่มีอายุการใช้งานยาวมากๆ และมี Range ในระดับเดียวกันกับ Battery 4680 ที่ Tesla กำลังพยายาม Mass Produce อยู่
LFP Battery ยังมีข้อดีอีกอย่างคือเป็น Battery ที่เกิด Thermal Runaway ยากกว่า NCM เพราะขั้ว Cathode ที่ใช้ NMC เป็นสารเคมีปล่อย Oxygen เป็น By Product แต่ขั้ว Cathode ที่ใช้ LFP ไม่ปล่อย Oxygen พอไม่มี Oxygen แถมคุมอุณหภูมิได้ต่ำกว่า NMC ทำให้ LFP แบตเตอรี่มีความปลอดภัยกว่า NMC มาก โอกาสระเบิดหรือไฟลุกน้อย
ดังนั้นในอนาคตถ้าต้องการจะทำรถ EV ราคาย่อมเยา LFP จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าต้องการทำ High performance การใช้ NMC จะเหมาะกว่า ซึ่งต่อไป NMC น่าจะถูกใช้ในรถยนต์เกรด Premium ซึ่งมีระบบคุมอุณหภูมิ (เพิ่มต้นทุนการผลิต)
แล้ว Blade Battery ต่างกับ LFP Battery ทั่วๆไปยังไง?
Blade Battery คือ LFP Battery ที่มีโครงสร้างแตกต่างจาก Battery ทั่วไป สรุปแบบง่ายๆคือ LFP Battery ทั่วไปมีการวางโครงสร้างของ Battery Cell ถูกพับ หรือตัดแล้วนำไปซ้อนเป็นชั้นๆเยอะมากๆ ในขณะที่ Blade Battery ถูกสร้างขึ้นมาเป็นแผ่นบางๆยาวๆจึงมีการซ้อนกันน้อยกว่า มี Layer น้อยกว่า LFP Battery ทั่วๆไป
ตอนที่เอาไปทดสอบด้วยการทดสอบแบบต่างๆ เช่น Nail Penetration Test ที่ถือเป็นสุดยอด Test ที่ทดสอบผ่านยากมากๆ การทดสอบก็ตามชื่อครับ คือเป็นการเอาตะปูแทงทะลุ Battery แล้วดูว่าเกิด Thermal Runaway หรือเกิดการลุกไหม้และระเบิดหรือไม่?
เนื่องจาก Battery LFP ธรรมดาสร้างขึ้นมาเป็นชั้นๆ การแทงทะลุของตะปู 1 ตัว จะทะลุชั้น Batter Cell หลายชั้นมากๆ ก่อให้เกิดความร้อนและการระเบิดตามมา แต่ถ้าตะปูทะลุ Blade Battery ที่มีชั้นน้อยกว่า ทำให้โอกาสที่จะเกิดความร้อน ไฟไหม้แล้วระเบิดน้อยกว่าเช่นกัน ดังนั้น Blade Battery จึงยิ่งปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้นจาก LFP Battery ทั่วๆไปในเชิงทฤษฎี ส่วนในภาคปฎิบัติผมยังหาตัวเลขมายืนยันไม่ได้ ยังไงถ้ามีจะมา Update ให้ครับ
นอกจากนั้นด้วยความที่ Blade Battery มีลักษณะเป็นแท่งๆยาวๆตามชื่อ BYD ได้ออกแบบให้สามารถใช้ตัว Blade Battery นี่แหละเป็นโครงสร้างของตัวรถยนต์ไปเลย และด้วยความที่เป็นแท่งๆยาวๆ ทำให้สามารถผลิตให้เข้ากับความกว้างของรถที่จะนำไปใช้ได้ด้วย
ด้วยสิ่งที่กล่าวไปด้านบนทำให้แม้แต่ Tesla เองยังเคยติดต่อ BYD เพื่อขอ Blade Battery ไปทดลอง และปัจจุบัน Toyota ก็มีติดต่อ BYD มาด้วยเช่นกัน
BYD คือบริษัทเดียวในโลกที่มี Integration ตั้งแต่การผลิต Battery Cell ไปจนจบถึงการผลิตรถ EV ในปัจจุบันเป็นที่รู้กันว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญของธุรกิจรถ EV คือ Supply Battery ซึ่งถือเป็นต้นทุนชิ้นใหญ่ที่สุดสัดส่วนราวๆ 30% จากราคาขาย ที่ BYD ขายรถราคาไม่แพงได้ อาจจะเป็นเพราะผลิต Battery Cell เป็นของตัวเอง? BYD ถือเป็นหุ้นตัวเดียวที่น่าจะมีความปลอดภัยเรื่อง Battery Supply พอๆกับ Tesla
กราฟด้านบนคือกำลังการผลิต Battery ของ BYD ซึ่ง Ramp Up ได้แบบน่าประใจมากๆไม่แพ้ยอดขายรถเลยจากการผลิตประมาณ 0.5 GWh ต่อเดือนช่วงต้นปี 2020 มาเป็น 5 GWh ต่อเดือน หรือโตเกือบๆ 10 เท่าในระยะเวลาแค่ 2 ปี ถ้าการผลิตรถ EV มีความยากอยู่ที่การ Scale การผลิต แบบที่ Elon Musk เคยพูดว่าคือการผ่าน Manufacturing Hell ผมว่าคนที่สอบผ่านแล้วชัดๆน่าจะเป็น BYD
Source: Theelec
ในมุมของ Market Share เดือนสิงหาคม BYD มี Market Share ในการผลิต Battery เป็นอันดับ 4 ของโลกด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 7.7% จาก 5.8% ในปีที่ผ่านมา CATL ผู้นำ Battery เองก็มีส่วนแบ่งมากขึ้นเช่นกันเป็น 30.3% จาก 23.4% โดยมีอันดับ 2 คือ LG อันดับ 3 Panasonic อันดับ 5 SK Innovation และอันดับ 6 Samsung SDI
และถ้าดู Market share เฉพาะในจีน BYD ถือเป็นเบอร์ 2 รองจาก CATL มี Market share ที่ 16.6%
ทั้งหมดนี้นับว่ารถ EV ของ BYD มีธุรกิจ Battery ระดับโลกหนุนหลังอยู่ดังนั้นโอกาสจะเจอปัญหาเรื่อง Battery น่าจะน้อยกว่าเจ้าอื่นๆครับ
ทั้งหมดนี้คือความน่าสนใจของธุรกิจ Automotive ของ BYD ซึ่งเป็น Catalyst หลักและเป็น Story ที่คนส่วนใหญ่ "ซื้อ" สำหรับ BYD แต่ในความเป็นจริง BYD Electronics ก็เป็นธุรกิจที่ใหญ่ไม่แพ้กัน และยังเป็นหุ้นอีกตัวที่ Listed อยู่ในตลาด Hongkong (285)
ธุรกิจ Electronics
ปัจจุบัน BYD Electronics มี Market Cap ที่ราวๆ 10 Billion USD หุ้น BYD แม่มี Market cap ที่ 118 Billion USD เท่ากับว่าที่ตลาดให้ Value หุ้น BYD ตอนนี้คือธุรกิจรถกับแบตเตอรี่ล้วนๆเลยครับ ธุรกิจ Electronic ให้มูลค่าเป็นสัดส่วนแค่ประมาณ 10%
BYD มีกำไรขั้นต้นที่ 18839 M. RMB และ BYD Elec มีกำไรขั้นต้นที่ 4603 M. RMB แปลว่าสัดส่วนกำไรที่เป็นของธุรกิจรถและแบตคือ 14236 M. RMB หรือประมาณ 75% ของกำไรขั้นต้นทั้งบริษัท ในขณะที่รายได้อยู่ที่ประมาณครึ่งๆ
นี่ก็อาจจะพออธิบายได้ว่าทำไมหุ้น BYD ถึงได้ราคาไม่เหมือนกับ NIO Xpeng และ Tesla เพราะรายได้กว่าครึ่งยังมาจากธุรกิจ Electronics และกำไรมาจากธุรกิจ Electronics กว่า 1 ใน 4 แต่นี่ก็อาจจะมองเป็นโอกาสก็ได้เหมือนกันเพราะดูจากการ Scale Battery Capacity และรถ EV แล้ว กำไรจากธุรกิจรถและแบตจะเติบโตมากขึ้น
นั่นหมายความว่ายิ่ง BYD ขายรถได้มากขึ้นเท่าไหร่ อัตราการทำกำไรของบริษัทจะยิ่งดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ส่วนตัวผมยังเชื่อว่าถ้าลงทุนใน BYD คือการลงทุนในธุรกิจ EV ส่วนธุรกิจ Electronic น่าจะเป็นส่วนเสริมมากกว่าในระยะยาว
(ยังไงถ้าสนใจกันเยอะๆ Comment ไว้ได้นะครับ เดี๋ยวผมทำเพิ่มเป็นบทความ BYD Part 2)
ประเด็นการเติบโตที่น่าสนใจของ BYD
จากการคำนวณคร่าวๆรายได้ EV แถวๆ 50% กำไรขั้นต้นของธุรกิจรถจะอยู่ที่ราวๆ 20% ถือว่าเป็นระดับกำไรที่ดีมาก ใกล้เคียงกับ NIO แต่ไม่มากเท่า Tesla และต่างกันตรงที่ BYD รวมรถ PHEV ด้วย เจ้าอื่นๆเป็น Pure EV
ปีนี้ BYD น่าจะขาย BEV ได้ประมาณ 3.5 แสนคัน รวมทั้งหมด 6.4 แสนคัน ปีหน้า BYD ตั้งเป้า ขายรถที่ 1.2 ล้านคัน เป็น BEV 6 แสนคัน และ PHEV 6 แสนคัน แทบจะไม่มียอดขาย ICE แล้ว ปีหน้า BYD น่าจะมียอดขายโตอย่างน้อย 50%+ Assume ธุรกิจ Electronic ไม่โต และรถที่ขายมีสัดส่วนของรถเล็กราคาถูกเช่น Dolphin มากขึ้นและธุรกิจ Electronics น่าจะโตไม่ต่ำกว่า 20% อันนี้ยังไม่รวมธุรกิจ Battery ที่กำลัง Ramp Up และขายให้กับบริษัท EV เจ้าอื่นๆ
ขาย 1.2 ล้านคัน น่าจะใช้กำลังการผลิต Battery ราวๆ 42 GWh สำหรับ BEV และแถวๆ 20 GWh สำหรับ Hybrid รวมเป็น 62 GWh ถ้าเอากำลังการผลิต Battery ปัจจุบันของ BYD ที่เดือนละ 5 GWh ปีละ 60 GWh ถือว่ากำลังการผลิตเพียงพอแค่ทำรถของตนเองก็หมดแล้ว ดังนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปีหน้าถ้ามีการขาย Blade Battery ให้แบรนด์รถยนต์อื่นๆต้องเพิ่มกำลังการผลิตแบตอีกเยอะ
รายได้ของ BYD มีการ Recover ที่เร็วมากๆและทำ All Time High ในไตรมาส 3 หลังวิกฤต COVID อย่างไรก็ตามกำไรของ BYD ไม่ได้ทำ All Time High ด้วย และหลังจากที่ฟื้นตัวมาในระดับก่อน COVID ก็นิ่งๆอยู่ที่เดิม ปัญหาหลักๆอยู่ที่ Gross Profit Margin ที่ต่ำลงอย่างมากของ BYD ถ้าเทียบกับปี 2020 ซึ่งผมเดาว่าน่าจะมาจาก 2 สาเหตุหลักด้วยกัน
1. การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต เหล็ก แร่ที่เอามาใช้ทำ Battery จะเห็นว่าเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา BYD มีการประกาศขึ้นราคาของ Blade Battery จากต้นทุน Lithium ที่สูงขึ้นอย่างมาก ปีหน้าคงต้องมาลุ้นกันว่า BYD เลือกจะขึ้นราคาเหมือน Tesla หรือหาวิธีจัดการต้นทุนทางอื่น
2. การลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตรถ EV และ Battery การที่จะ Deliver รถ EV ในระดับ 600000 คันได้ในปีหน้า BYD ต้องมีการลงทุนในโรงงานและไลน์การผลิตเยอะมาก ถ้าเช็คในงบการเงินจะเห็นว่า CAPEX ของ BYD พุ่งกระฉูดสุดๆ เพิ่มจากไตรมาสละ 4 Billion RMB เป็น 10 Billion และนี่แหละคือตัวที่ดึงกำไรของ BYD ทำให้รายได้โตแต่กำไรไม่โตตาม แต่ถ้าเรามองยาวๆหน่อยการลงทุนครั้งนี้น่าจะใช้เวลาเก็บเกี่ยวไม่นานปีหน้าก็น่าจะเห็นผลแล้วครับ
การ Partnership ของ BYD ดูน่าสนใจมากๆ แต่ต้องบอกว่าส่วนใหญ่มักจะไปไม่ค่อยรอด ดูจากการ Partnership กับ Mercedes ... แต่ก็มี Partnership อันนึงที่ดูเป็นความหวังของ BYD สุดๆ นั่นคือการ Partnership กับ Didi ครับ
BYD กับ Didi เริ่มพัฒนารถ EV สำหรับตลาด Ride-Hailing โดยเฉพาะ โดยทำร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2019 และรถออกสู่ท้องถนนแล้วในปี 2020 ตรงนี้จริงๆผมไม่ได้คาดหวังยอดขายแต่คาดหวังว่าวันนึงถ้า Didi ทำ Robotaxi แล้ว BYD เป็น Supplier หลักให้ไม่ว่าจะเป็นการผลิตรถ หรือระบบ Autonomous ผมว่าตรงนั้นตะหากที่จะเป็นจุดเปลี่ยนจริงๆของ BYD
ในส่วนของ Partnership กับ Toyota จริงๆก็เกิดขึ้นมา 2-3 ปีแล้วเช่นกัน หลายคนสงสัยว่าที่ Toyota ประกาศออกรถ EV 15 รุ่นทั้งๆที่ผ่านมาดูไม่ค่อยมี Development ในจุดนี้ซักเท่าไหร่ ผมต้องบอกว่าที่ Toyota ทำได้เพราะมี BYD นี่แหละครับเป็น Partner
ข่าวลือในตอนนี้คือ Toyota จะไม่ได้ใช้แค่ Blade Battery ของ BYD ครับ แต่ใช้ e-Platform 3.0 ของ BYD ทั้ง Platform ในการทำรถเลย แล้ว e-Platform 3.0 มันดียังไง? e-Platform 3.0 โฟกัส 4 จุดด้วยกัน
เป็น Platform Intelligent - มี Centralized ECU สำหรับควบคุมระบบทุกอย่างในรถ + BYD Chips + Over the air update system ที่ Partner สามารถใช้ Software ของตนเองได้
Efficiency สูง - อัตราเร่งสูงสุด 0-100 km ใน 2.9 วินาที ระยะวิ่ง 1000 โล ชาร์จ 5 นาที วิ่งได้ 150 โล
Safety ปลอดภัย - ใช้ Blade Battery + Battery management system + Heat Pump + Charger + Controller + Power Train ที่ BYD ออกแบบและผลิตเอง
Aesthetic - Battery รวมอยู่ในโครงสร้างของ Chasis เลย สามารถนำไปใช้กับรถได้หลากหลายรูปแบบ (นี่ละมั้งคือเคล็ดลับของ Toyota?)
ความเสี่ยงของ BYD
ข้อมูลหายากมากๆส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน ดังนั้นมันจะประเมินได้แบบคร่าวๆ ถ้าจะซื้อหุ้น BYD คือต้องเชื่อใน BYD Platform ความเป็นผู้นำของ BYD และปู่ทั้ง 2 Warren Buffett และ Charlie Munger ล่าสุดมีคนไปถาม Munger ว่า BYD ขึ้นมาเยอะควรขายยัง? แกบอกว่าถ้าผู้บริหารดี บริษัทเจ๋ง แม้หุ้นจะขึ้นมาเร็วก็ยังไม่ขาย ในขณะที่ Li Lu มีขายไปบ้างแล้ว
ระบบ Autonomous ที่ยังไม่เห็นผลงานเท่าไหร่ ผมไปอ่านๆดูความเห็นของคนที่ถือ BYD ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะคิดว่า Autonomous มันยังอีกหลายปี เลยไม่ได้โฟกัสและไม่ได้ให้ความสำคัญมันณ.ตอนนี้
BYD ขายรถราคาไม่แพง ในขณะที่วัตถุดิบทำรถเช่น Lithium มันแพงขึ้นเยอะมาก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า BYD จะขึ้นราคาได้พอกับราคาต้นทุนที่เพิ่มไหม ในขณะที่มีบริษัทที่มั่นใจได้เลยว่าขึ้นราคาได้สบายๆคือ Tesla ส่วนแบรนด์หรูของ BYD ก็ไม่รู้จะรอดไหม
BYD มีธุรกิจผลิต EV ให้คนอื่นด้วยเช่น ข่าวที่บอกกำลังผลิตแบรนด์รถราคาถูกให้ NIO และ Partner ที่กำลังทำกับ Toyota ลึกๆผมว่าถ้าของเจ๋งจริง ไม่ต้องแบ่งคนอื่นก็ได้นะ เน้นทำแบรนด์ตัวเองในตลาด EV ที่กำลังโตกระฉูดน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ตัว Wang Chuanfu เอง เป็น CEO ระดับเทพอยู่แล้ว ด้านการผลิตเก่งมากๆ แต่ด้านการตลาด กับการมีแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์แบบ Hardcore ไม่แน่ใจว่าจะทำได้แค่ไหน
Product ของ BYD ถ้าเทียบหน้าตากับ Tesla, NIO, Xpeng ผมว่ายังแพ้อยู่เยอะพอสมควร การมี Design Element แปลกๆ อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
BYD เป็นบริษัทจีน ที่ตอนนี้ทำธุรกิจรถบัสและรถบรรทุกในสหรัฐฯแล้ว ถือเป็นเรื่องดี และ BYD แทบจะเป็นเจ้าเดียวเลยมั้ง แต่ในอีกมุมนึงก็คือคงเป็นเป้าหมายในการสอยของรัฐบาลเมกา
หุ้น BYD Listed ในฮ่องกง กับจีน ข้อดีคือไม่โดน Delist แน่นอน ข้อเสียคือไม่ได้ Premium ของการเป็นหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ... ซื้อได้ผ่าน OTC ก็จริงแต่คงไม่ได้ดีเท่ากับการเป็นหุ้นในตลาดสหรัฐฯเลย
ทั้งหมดนี้เป็นสรุปหุ้น BYD คร่าวๆที่ผมรวบรวมมาได้ครับ ต้องบอกว่าพอศึกษา Tesla Xpeng Nio และ BYD ด้วยนี่เห็นภาพตลาดนี้ชัดมากๆเลย แต่ก็ต้องบอกว่าเกือบๆจะยอมแพ้กับ BYD เหมือนกันเพราะมันหาข้อมูลยากจริงจังมากๆ
ใครยังไม่ได้อ่านบทความ Xpeng, NIO ผมใส่ Link ไว้ให้ด้านล่างนะครับ
NIO -> https://trendlongtun.substack.com/p/deep-dive-analysis-nio
Xpeng -> https://trendlongtun.substack.com/p/deep-dive-analysis-xpev
ส่วนหุ้น Tesla ผมเคยมีไปพูดไว้ในรายการ Alpha Investor ของ Finnomena แนบ Link ไว้ให้ครับ
ดูหมดนี่ผมว่าน่าจะเข้าใจตลาด EV มากขึ้นเยอะเลย หวังว่าเพื่อนๆจะชอบ กำลังคิดว่าจะทำ Valuation เพิ่มเติมของหุ้นบางตัว ถ้าใครสนใจอย่าลืมสมัครสมาชิกกันไว้ครับ ตอนนี้ฟรีครับ !
ใครอยากได้หุ้นตัวไหนเป็นพิเศษ ใส่ไว้ใน Comment ได้ครับ ผมจะเลือกมาทำ Deep Dive จะที่เพื่อนๆเสนอมา
ขอให้มีความสุขกับช่วงปีใหม่ครับ Happy New Year !
สุดยอดมากครับพี่มาร์ช ได้ความรู้ใหม่เต็มไปหมด โดยเฉพาะเรื่องแบตเตอรี่ ติดตามยาวๆๆ
ขอบคุณครับ อยากอ่านภาค 2 ต่อเลยครับ Deep Dive ได้ละเอียดมากๆ