หุ้น ALAB Astera Labs ผู้ผลิตชิป PCIe เบื้องหลังวงการ AI รายได้โตแรง ลุ้นพลิกมามีกำไร ยิ่ง Data Center ขยาย ยิ่งซับซ้อน ยิ่งต้องใช้ [REVIEW]
พูดถึงวงการชิป AI หลายคนคงนึกถึงชิปกลุ่ม GPU หรือ CPU ซึ่งมีหุ้นดังๆ เช่น NVIDIA, AMD หรือแม้กระทั่ง Intel แต่จริงๆแล้ว ยังมีหุ้นอีกมากมายที่จำเป็นและถูกใช้ใน Data Center พัฒนา AI หนึ่งในนั้น คือ Astera Labs บริษัทน้องใหม่วงการชิปด้าน AI ที่อาจไม่ได้โดดเด่นเหมือน GPU แต่เป็นอุปกรณ์ Network คอยจัดการข้อมูลมหาศาล ยิ่งในอนาคตที่ Data Center ขยายใหญ่ขึ้น ยิ่งขาดไม่ได้
Asteral Labs เป็นบริษัทที่พึ่งก่อตั้งในปี 2017 ในโรงรถแบบเดียวกันกับ Classic Silicon Valley Story บริษัทอื่นๆ ALAB เกิดมาเพื่อแก้ปัญหาการส่งข้อมูลของ GPU ที่ทั้งมหาศาลและรวดเร็ว จนระบบ Connectivity รับไม่ไหว ทำให้เกิดคอขวดขึ้นในการส่งข้อมูลต่างๆ
ถ้าจำกันได้ 2-3 ปีก่อน Nvidia ซื้อ Mellanox ไปก็เพราะต้องการพัฒนาการส่งผ่านข้อมูลตรงตรงนี้ให้เร็วขึ้น เพื่อทลายคอขวด และทำให้สามารถปลดล๊อคการทำงานของ GPU ให้มีศักยภาพสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายส่งผลให้ Performance ภาพรวมดีขึ้น ในขณะที่ต้นทุนเท่าเดิม ทำให้ Total cost of ownership ลดลงครับ
ธุรกิจของ Astera Labs - ชิปจัดการข้อมูล และส่งผ่านข้อมูลระหว่าง GPU/CPU
Astera Labs เป็นบริษัท Fabless ออกแบบและขายชิป Smart Fabric Switches, PCIe®, CXL® และ Ethernet ซึ่งทำหน้าที่ด้านการเชื่อมต่อข้อมูลกันระหว่างชิปใน Data Center เช่น GPU, CPU หรือชิปอื่นๆ
โดยทำงานร่วมกับชุดซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า COSMOS เพื่อบริหารและปรับการเชื่อมต่อระหว่างชิปใน Data Center ให้เหมาะสม ได้ออกมาเป็นแพลตฟอร์มชื่อ Intelligent Connectivity Platform ท่านี้คล้ายๆกับ Nvidia และ AVGO. ที่มีทั้ง Hardware และ Software ทำให้ระยะยาวพัฒนา Moat ขึ้นมาและเติบโตระยะยาวได้
พูดให้ง่ายขึ้น คือ ชิปของ Astera Labs ช่วยแก้ปัญหาคอขวดการส่งข้อมูลระหว่างกันใน Data Center โดยชิปจะเข้าไปขยายช่องทางส่งข้อมูลและประสิทธิภาพการส่งข้อมูล บริษัทมีผลิตภัณฑ์ชิปแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. Scorpio Smart Fabric Switches ชิปรุ่นใหม่ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือน ต.ค. 2024 มาพร้อม PCIe 6 ถูกออกแบบมาเพื่อ AI เป็นชิปที่ทำงานในระดับ Network เพื่อแก้ปัญหาที่ตามมาหลังขยาย Data Center จนมีขนาดใหญ่ นั่นคือ บริหารและจัดระเบียบ (Switching and Connectivity) การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกลุ่ม GPU และ GPU กับกลุ่มชิปประเภทอื่นที่มีจำนวนมหาศาล โดยต้องมีประสิทธิภาพที่เสถียรและคุ้มค่าพลังงาน
หรือเปรียบเสมือนผู้บริหารกระแสข้อมูลที่มีจำนวนมากใน Data Center ชิปรุ่นใหม่นี้แบ่งออกเป็นอีก 2 สถาปัตยกรรม คือ
a.) P-Series สำหรับเชื่อมต่อข้อมูลระหว่าง GPU, CPU และชิปอื่นๆ และ b.) X-Series เพื่อเพิ่ม Bandwidth สำหรับส่งข้อมูลกันระหว่างกลุ่ม GPU ที่ประมวลผลข้อมูล
นอกจากจะช่วยบริหารข้อมูลแล้ว ชิปอันนี้ยังช่วยให้เจ้าของ Data Center สามารถใช้ชิปหรืออุปกรณ์ต่างรุ่นต่างเจนกันได้ และสำหรับตลาด Switches เป็น Broadcom ที่ครองตลาด แต่ชิปจะเป็นชิปรุ่น PCIe 5 เก่ากว่าของ Astera Labs
ถึงตรงนี้ขอขยายความเรื่อง Bandwidth กันก่อนสักนิด โดย Bandwidth ก็เหมือนขนาดท่อส่งน้ำ ถ้ามี Bandwidth กว้างก็ยิ่งส่งข้อมูลได้จำนวนมากขึ้น
2. Aries PCIe/CXL Smart DSP Retimers ชิปที่ทำหน้าที่ขยาย Bandwidth รับส่งข้อมูลระหว่าง GPU และ CPU อาจจะงงหน่อยว่าคืออะไร จริงๆ ชิปนี้ช่วยขยายสัญญาณข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาระยะทางส่งข้อมูลระหว่างชิปที่ไกลใน Data Center รวมถึงการสูญเสียในสายสัญญาณหรือจุดเชื่อมต่อ สำหรับตลาดนี้เป็นตลาดชิปเรือธงที่บริษัทเป็นผู้นำครองส่วนแบ่งตลาดได้เยอะ
3. Leo CXL Smart Memory Controllers ทำหน้าที่ขยาย Bandwidth ระหว่างชิป GPU และ CPU กับชิป Memory เพราะการประมวลข้อมูลใน Data Center ต้องมีการฝากข้อมูลระหว่างการประมวลผลบางส่วนไว้กับชิป Memory แต่พอข้อมูลมีมากขึ้น ก็ตามมาด้วยปัญหาการส่งข้อมูลระหว่างชิป GPU และ CPU กับชิป Memory นั่นเอง
4. Taurus Ethernet Smart Cable Modules ทำหน้าที่เพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูล พอเพิ่มความเร็วได้ ระบบ Data Center ก็ใหญ่และซับซ้อนขึ้นได้อีก พร้อมรับกับการประมวลผล AI ที่นับวันจะมีแต่ข้อมูลที่ซับซ้อนและเยอะขึ้น
ในเมื่อขายชิปที่ใช้งานเกี่ยวกับ AI บริษัทก็ทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตชิปที่ใช้กับ AI ไม่ว่าจะเป็น NVIDIA, AMD และ Intel เพื่อให้ทำงานร่วมกันอย่างลงตัวตอบโจทย์กลุ่ม Hyperscalers ที่จะลงทุนขยาย Data Center เพิ่มเติมในอนาคต
ปัจจุบันชิปของ Astera Labs ถูกใช้กับชิป GPU ของ NVIDIA รุ่น GB200 และมีโอกาสถูกนำไปใช้กับชิป NVIDIA รุ่นใหม่ Blackwell ซึ่งก็พอใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อ Senior VP แห่งแผนก GPU engineering ของ NVIDIA เผยว่า Scorpio Smart Fabric Switches สามารถสนับสนุนการทำงานของชิป NVIDIA ในการประมวลผล AI หลากหลายรูปแบบ
ส่วน AMD กำลังทำงานร่วมกับ Astera Labs เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน ซึ่งการทำงานร่วมกับผู้ผลิตชิปรายใหญ่แบบนี้ ช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทยังรักษาส่วนแบ่งตลาดและเปิดโอกาสขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม
บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากไต้หวันประมาณ 68%, จีน 14.6%, สิงคโปร์ 10.6%, สหรัฐฯ 4.76% และประเทศอื่นๆ 2.04% โดยมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้ารายใหญ่ที่สุด 35% รองลงมา 26% และอันดับ 3 ประมาณ 11% รวมแล้วลูกค้ารายใหญ่สุด 3 บริษัท มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 72%
การเติบโต - อิงกับความต้องการชิป Network และ Connectivity สำหรับการประมวลผลระดับ Hypercomputing
การมาของ Scorpio Smart Fabric Switches จะช่วยทั้งขยายฐานลูกค้าของบริษัทอีกประมาณ $5,000 million ภายในปี 2028 ยิ่งถ้าอาศัยการเป็น PCIe 6 ที่ใหม่กว่าคู่แข่งรายใหญ่ และความครบวงจรของผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ Aries PCIe/CXL Smart DSP Retimers ซึ่งบริษัทเป็นผู้นำตลาดนี้อยู่แล้ว จับกระแสการเติบโตของ AI ให้ดี มีโอกาสมากที่จะได้เห็นรายได้เติบโตแรงต่อไปแบบนี้ได้อีกสักพัก
นอกจากนี้มีโอกาสอย่างมากที่จะได้อานิสงส์การเติบโตจากชิป Blackwell ของ NVIDIA รวมไปถึงความร่วมมือกับ AMD ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้ชิปของบริษัทสามารถเอาไปใช้กับ Data Center ทุกที่
มองไปในอนาคตถึงแม้ NVIDIA เองจะมี NVLink สำหรับเชื่อมต่อระหว่าง GPU กับ CPU แต่ Hyperscalers หลายเจ้าเริ่มพัฒนาชิปของตัวเองแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Google, Meta, Amazon และ Microsoft ทีนี้ NVLink อาจไม่ได้เป็นข้อจำกัดของ Astera Labs แถมอาจเป็นโอกาสให้มีความต้องการชิปของ Astera Labs มากขึ้นด้วยซ้ำ
งบการเงินและ Earning Call - รายได้โตตาม AI Datacenter และชิป Nvidia
Q3/24 มีรายได้ $113.1 million เพิ่มขึ้น 206% (YoY) และ 47.2% (QoQ) จากกระแสการเติบโตของ AI ทำให้มีความต้องการชิปกลุ่ม Aries สูงขึ้นมาก โดยมี Gross Profit Margin อยู่ที่ 77.71% ใกล้เคียง Q2/24 ที่ 77.88% และเพิ่มขึ้นจาก Q3/23 เล็กน้อยที่ 76.11% หนุนการลดต้นทุนวัตถุดิบได้บางส่วน
ส่วนไต้หวันที่รั้งสัดส่วนรายได้อันดับ 1 ทำรายได้เพิ่มขึ้น 254% (YoY) ส่วนจีนทำรายได้เพิ่มขึ้นถึง 525% (YoY) สิงคโปร์พลิกมามีรายได้ $11.97 million จาก Q3/23 ที่ยังไม่เคยมีลูกค้าจากประเทศนี้ ขณะที่สหรัฐฯ มีรายได้ลดลง 52.9% (YoY) และประเทศอื่นๆ มีรายได้เพิ่มขึ้น 288% (YoY)
ค่าใช้จ่าย SG&A อยู่ที่ $46.1 million เพิ่มขึ้นจาก Q3/23 ที่ $9.5 million และ Q2/24 ที่ $44.1 million ตามทิศทางรายได้ที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่าย R&D อยู่ที่ $50.7 million เพิ่มจาก Q3/23 ที่ $20.6 million และ Q2/24 ที่ $40.1 million
ส่วนอัตราส่วนค่าใช้จ่าย R&D ต่อรายได้อยู่ที่ 44.8% ลดจาก Q3/23 ที่ 55.85% และ Q2/24 ที่ 52.17% ด้วยการเป็นบริษัทเทคโนโลยีแบบนี้ต้องติดตามต่อไปว่าจะเริ่มลดค่าใช้จ่ายลงบ้างแล้วหาระดับค่าใช้จ่ายใหม่ หรือจะกลับไปยืนที่ระดับ 50% อีกครั้ง (ช่วงแรกก็ควรใส่งบ R&D เยอะหน่อย)
รวมแล้วเลยส่งให้ Operating Income ขาดทุนที่ $8.9 million เพิ่มจาก Q3/23 ที่ขาดทุน $2.0 million แต่ลดจาก Q2/24 ที่ขาดทุน $24.3 million
ส่วน EBITDA มีความใกล้เคียง Operating Income ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะเป็นบริษัท Fabless ไม่ค่อยมีเครื่องจักรหรือสินค้าที่ต้องตัดค่าเสื่อมมาก โดยขาดทุน $8.0 million เพิ่มจาก Q3/23 ที่ขาดทุน $1.5 million และลดจาก Q2/24 ที่ขาดทุน $23.6 million
Net Income ขาดทุน $7.6 million หรือ EPS ขาดทุน $0.05 ต่อหุ้น เพิ่มจาก Q3/23 ที่ขาดทุน $3.1 million และใกล้เคียง Q2/24 ที่ขาดทุน $7.5 million
ผู้บริหารออกมาเปิดเผยคาดการณ์งบ Q4/24 ว่าจะมีรายได้ประมาณ $126-130 million Gross Profit Margin ที่ 75% และคาดว่า EPS จะมีกำไรที่ประมาณ $0.04-0.06 ต่อหุ้น ต้องรอติดตามว่าสินค้าที่มีหลากหลายครบวงจรขึ้นจะช่วยหนุนกันและกันให้รายได้โตอย่างที่หวังได้หรือไม่ ด้วยกระแส AI ตอนนี้ก็ถือว่ามีโอกาสสูงที่จะทำได้
Valuation - สูงตามกระแสและ Business Model ของบริษัทที่เป็น Fabless
อัตราส่วน EV/Sales เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามกระแส AI มาอยู่ที่ 66.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 55.0 เท่า ส่วน Forward EV/Sales อยู่ที่ 35.8 เท่า แบบนี้ดูเหมือน Valuation จะรับกระแสการเติบโตไปบ้างแล้ว แต่จากอัตราส่วน Forward ก็ยังหวังว่าจะมี Upside อยู่ ถ้างบ Q4/24 ออกมาดีกว่าคาด
เทียบกับคู่แข่งที่มีขนาดและสินค้าใกล้เคียงกันอย่าง Credo Technology (CRDO) มี EV/Sales ที่ 53.0 เท่า และมี Forward EV/Sales ที่ 24.0 เท่า เรื่องการเติบโตอาจจะใกล้เคียงกัน แต่ต้องเลือกแล้วว่าจะอยู่กับ Astera Labs ที่เชี่ยวชาญชิปเฉพาะทางและมีผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ราคารับไปบ้างแล้ว หรือจะหา Credo Technology ที่ชิปอาจล้ำน้อยกว่า แต่ Valuation เบาลงกว่าหน่อย ส่วนตัวถ้าจะต้องเลือกจริงๆ ผมเลือกคนเก่งดีกว่า ในตลาดแบบนี้ถ้าคนเก่งไม่รอด ส่วนใหญ่เบอร์ 2-3 ก็ไม่รอดด้วยเช่นกัน
ซึ่งด้วยระดับ EV/Sales ไม่ค่อยต่างกันมาก Astera Labs แอบน่าลุ้นมากกว่าเล็กน้อย แต่ควรกระจายไปหาหุ้นชิปหรือหุ้นกลุ่มอื่นด้วย เพราะความผันผวนในช่วงสั้นที่น่าจะเกิดขึ้นแน่นอน
ความเสี่ยง - อนาคตคงมีการชะลอตัวแต่เมื่อไหร่? และแค่ไหนล่ะ?
อย่างแรกบริษัทมีสัดส่วนรายได้กระจุกอยู่มากกับลูกค้า 3 อันดับแรก ส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่าด้วยอุตสาหกรรมนี้มีบริษัทที่มีทุนมากพอขยาย Data Center รวดเร็วได้ไม่กี่บริษัท แต่ก็เท่ากับว่าลักษณะธุรกิจของ Astera Labs มีความเสี่ยงกับการพึ่งพาลูกค้าจำนวนน้อยราย
ส่วนผู้ผลิตชิปให้บริษัทก็หนีไม่พ้น TSMC อันนี้ก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน เพราะผูกขาดการผลิตชิปของโลก ดังนั้นอาจใช้จุดนี้ขึ้นราคาผลิตชิป ต้นทุนก็เพิ่มตาม Astera Labs จะมีอำนาจต่อรองขึ้นราคามากพอชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอันนี้ได้หรือไม่ นอกจากนี้ถ้ากำลังผลิตไม่พอ TSMC อาจเลือกดีเลย์สินค้าของบริษัทซึ่งมีวอลุ่มน้อย แล้วไปเลือกผลิตให้ลูกค้ารายใหญ่กว่าก่อน
สินค้าใหม่อย่าง Scorpio Smart Fabric Switches อาจยังไม่ได้สร้างรายได้จนเติบโตแรงอย่างที่หวังไว้ในระยะสั้น (คาดการณ์การขยายฐานลูกค้าก็มองยาวถึงปี 2028) คงต้องผ่านช่วงทดสอบกับระบบจนลูกค้ามั่นใจสั่งซื้อ
คู่แข่งที่เรียกได้ว่ารายใหญ่มากๆทั้งทางตรงทางอ้อม ตลาด Connectivity นี่ Broadcom (AVGO) กับ Marvell (MRVL) กิน Market share ไปมากกว่า 80% คู่แข่งรายที่เล็กหน่อยก็ Rambus (RMBS) หรือ Credo (CRDO)
ระยะสั้นน่าติดตาม Gross Profit Margin ซึ่ง Q4/24 คาดว่าจะลดลงเล็กน้อย อันนี้หลายฝ่ายคาดว่าสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนแปลง ต้นทุนก็เปลี่ยนตามและกลายเป็นทำให้การทำ Margin ลดลง แต่ห้ามลดลงมากกว่าที่คาดไว้เด็ดขาด
ความเสี่ยงอื่นๆ ก็คงต้องติดตามทิศทางตลาด AI และชิป ที่ในอนาคตคงมีช่วงชะลอตัวอยู่แล้ว รายได้ส่วนเยอะๆของหุ้นตัวนี้น่าจะอิงกับ Nvidia เยอะถ้ามีการชะลอขึ้นมาก็จะกระทบได้ ดังนั้นถ้า Valuation สูงเวอร์เกินพื้นฐานมากๆ แนะนำว่าถ้ายังไม่มีสัดส่วนรอก่อน ถ้ามีแล้วแนะนำทำกำไรบ้าง เอาเงินไปลงทุนบริษัทที่น่าสนใจกว่า
สรุป - Story ดูดี คุณภาพใช้ได้ ราคาสูง ต้องระวังการเติบโตสะดุด
Astrea Labs ลุยตลาดชิป Retimers และกำลังเพิ่ม Switches เข้ามา ชิปเหล่านี้เปรียบเสมือนเบื้องหลังใน Data Center ซึ่งยิ่งขยายใหญ่ มีความซับซ้อน ยิ่งต้องใช้ชิปตัวนี้มากขึ้น แน่นอนว่างบเติบโตค่อนข้างแรง อาจถึงเวลาพลิกกลับมามีกำไร ส่วน Valuation รับข่าวดีไปบ้างแล้ว แต่ยัง Upside ให้ลุ้นอยู่บ้าง โดยชิป Switches ที่เปิดตัวได้ไม่นาน อาจยังไม่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในระยะสั้น แต่ระยะยาวเมื่อประกอบกับ Retimers แล้ว มีลุ้นเป็นปัจจัยสร้างการเติบโตให้บริษัทได้อีกมาก